สังคมไทยเปลี่ยน ศาลเยาวชน และครอบครัว ปรับตัวก้าวสู่บริบท ใหม่ ห่วงระบบการศึกษาจะทำให้เด็ก ขาดความสุข

 

สังคมไทยเปลี่ยน ศาลเยาวชน

และครอบครัว ปรับตัวก้าวสู่บริบท

ใหม่ ห่วงระบบการศึกษาจะทำให้เด็กขาดความสุข

 

นางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาวิชาการ ผู้พิพากษาสมทบในศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วราชอาณาจักร ประจำปี 2567 ที่ อินแพ็ค เมืองทองธานี โดยศาลเยาวชนและครอบครัวกลางเป็นเจ้าภาพ ซึ่งในการสัมมนาครั้งนี้ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง“บริบทศาลเยาวชนและครอบครัว กับมิติความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงในสังคม”  เพื่อให้ก้าวทันต่อยุคสมัย ว่า...

 

สถาบันครอบครัวเป็นหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดในสังคม แต่เป็นสถาบันที่มีบทบาทเลี้ยงดู ชี้แนะและสั่งสอนให้เป็นคนดีของสังคม วางรากฐานชีวิตให้แก่เด็กและเยาวชนในอนาคตสังคมไทย จะมีทิศทางเช่นไร ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจุบัน ทั้งนี้โอกาสของแต่ละครอบครัวที่แตกต่างกันย่อมส่งผลให้เด็กและเยาวชนแตกต่างกัน ซึ่งบางครอบครัวที่ไม่ได้รับการดูแลชี้แนะเท่าที่ควร ย่อมนำมาซึ่งการก่อความผิดเล็กน้อยไปถึงขั้นร้ายแรง

 

ประธานศาลฎีกา กล่าวอีกว่า ศาลยุติธรรมจึงเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหานี้ โดยจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางขึ้นเป็นครั้งแรก ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 เพื่อแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนเหล่านี้ จน ณ ขณะนี้ ได้เปลี่ยนผ่านมาเป็นศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วประเทศ

 

ดังนั้น เพื่อให้บทบาทของศาลเยาวชนและครอบครัวดำเนินการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเด็กและเยาวชน ตลอดการเสริมสร้างความมั่นคงเข้มแข็ง เพื่อให้สถาบันครอบครัวได้ประโยชน์สูงสุดตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนฯและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 อย่างแท้จริง

 

 

“....นับเป็นเวลา 73  ปีแล้ว ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวยืนหยัดเคียงข้างสังคมไทย ในการมุ่งแก้ปัญหาการกระทำผิดของเด็กและเยาวชนอย่างเข้มแข็งมาตลอด ซึ่งมิใช่เพียงเฉพาะการพิจารณาพิพากษาคดีลงโทษเพื่อป้องปรามมิให้เด็กและเยาวชนกระทำความผิดซ้ำเท่านั้น แต่ยังขยายบทบาทครอบคลุมไปถึงการให้ความช่วยเหลือเด็ก เยาวชนและครอบครัว ที่ตกอยู่ในภาวะยากลำบาก ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงความรุนแรงในครอบครัว รวมถึงการเข้าไปแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเพื่อให้เด็กและเยาวชนกลับไปเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าต่อสังคม และประเทศชาติได้” นางอโนชา กล่าว

 

ด้าน นายเผดิม เพ็ชรกูล อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง กล่าวเพิ่มเติมว่า ศาลเยาวชนและครอบครัวได้ตระหนักถึงความสำคัญในการคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน ตลอดจนการแก้ไข บำบัดฟื้นฟู เด็กและเยาวชน พร้อมช่วยเหลือคุ้มครองสวัสดิภาพของครอบครัว ซึ่งเป็นเจตนารมณ์ที่บุคคลทุกฝ่ายยึดถือและนำมาใช้ปฏิบัติงาน

 

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้พิพากษาสมทบในฐานะที่เป็นบุคลากรที่มีบทบาทสำคัญ ในเข้าไปมีส่วนร่วมขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย โดย กระบวนการทำงานคำนึงถึงสวัสดิภาพและอนาคตของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญยิ่งกว่าการลงโทษ” นายเผดิม กล่าว

 

นายเผดิม กล่าวย้ำว่า นโยบายของประธานศาลฎีกา  มุ่งแก้ไข บำบัดและฟื้นฟู ผู้กระทำผิดเด็กและเยาวชนอย่างครบวงจร ต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม  ดังนั้นการพัฒนาศูนย์คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในคดีอาญา จะครอบคลุมถึงการแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูผู้กระทำผิดและผู้เสียหายในคดีอาญา รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ของ ศูนย์ติดตามเด็กและเยาวชนที่ผ่านกระบวนการยุติธรรมของศาลเยาวชนและครอบครัวอย่างครบวงจร โดยบรูณาการความร่วมมือระหว่างศาลเยาวชนและครอบครัวทั่วราชอาณาจักรกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้ไปในแนวทางเดียวกัน ผู้พิพากษาสมทบจึงเป็นกำลังสำคัญในการผลักดันนโยบายดังกล่าว

 

 

ขณะที่ พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผู้กำกับกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต กล่าวว่า ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา มีคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กทางอินเทอร์เน็ต 541 คดี ได้ช่วยเหลือผู้เสียหายผู้หญิง 290 คน ผู้ชาย 68 คน คนร้ายจะมีวิธีการล่อลวงด้วย ให้เข้ากลุ่มลับ หลอกจะให้เงิน บังคับให้ส่งไฟล์ ชักชวนเป็นดารา ชวนให้แก้ผ้า ท้าให้เปิดกล้อง ให้ลองแลกไอเท็ม วิธีการต่างๆ นี้ ติดต่อผ่านแอฟหาคู่ เกมส์ออนไลน์ และโซเซียลมีเดีย

 

พันตำรวจเอก รุ่งเลิศ กล่าวอีกว่า สำหรับวิธีการรับมือไม่ตกเป็นเหยื่อมีดังนี้ ต้องไม่รีบเป็นเพื่อน หรือสนทนากับบุคคลที่ไม่รู้จัก  ต้องไม่ส่งข้อมูลส่วนตัวให้กับบุคคลที่ไม่รู้จัก ไม่บันทึก หรือส่งรูปภาพ หรือวิดิโอที่สื่อกิจกรรมทางเพศแก่บุคคลอื่นแม้เป็นคนที่ไว้วางใจได้ก็ตาม

 

ด้าน ศาตราจารย์คลินิกแพทย์หญิงวินัดดา ปิยะศิลป์ แห่งราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเลี้ยงดู และระบบการเรียนในโรงเรียนแบบเดิมเน้นการแข่งขัน ฝึกฝนน้อย มุ่งใส่เนื้อความรู้โดยไม่สนใจว่าจะเหมาะสมกับเด็กหรือไม่ เมื่อเด็กทำไม่ได้หรือไม่รับผิดชอบ ไม่มีแรงจูงใจ หรือไม่อยากเรียน ผู้ใหญ่มักจะสร้างให้เกิดอารมณ์ด้านลบเพื่อมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ดุ ตำหนิ ลงโทษ เปรียบเทียบ ประจานทำให้อับอาย กดดัน หักคะแนน เน้นว่าทำไม่ได้ คือความพ่ายแพ้ โง่ ไร้ค่าที่เกิดมา ชีวิตล้มเหลว เสียทีที่เกิดมา เป็นต้น

 

ซึ่งการเรียนรู้แบบนี้ ได้ผลระดับหนึ่ง แต่ทำให้เด็กขาดความสุข กลัว ไม่ปลอดภัย ไม่กล้าแสดงออก กลัวผิด หรือดื้อ ต่อต้านไม่ทำตาม ไม่เรียนหนังสือ ส่งผลกระทบและบั่นทอนความสัมพันธ์ในครอบครัวของเด็กกับพ่อแม่ หรือกับนักเรียน กับครูทำให้ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน

 

“ดังนั้นแนวคิดของจิตวิทยาเชิงบวก เชื่อว่ามนุษย์มีศักยภาพมากที่จะพัฒนาตนเอง มีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับมนุษย์ด้วยกัน และสิ่งแวดล้อมที่จะดำเนินชีวิตไปถึงจุดมุ่งหมายที่มีคุณค่า และมีความสุขร่วมกันได้” ศาตราจารย์คลินิกแพทย์หญิงวินัดดา กล่าว

 

ด้าน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.จิรนิติ หะวานนท์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้บรรยาย เรื่องการแก้ไข บำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชน อันเป็นภารกิจสำคัญของศาลเยาวชนและครอบครัวอีกด้วยว่า

 

 

เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาสมทบในศาลเยาวชนและครอบครัวมีความรอบรู้ ดร. ตฤณห์ โพธิ์รักษา อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และนักอาชญาวิทยาด้านจิตวิทยาพฤติกรรมได้บรรยายให้ความรู้เรื่อง การอ่านภาษากายประสบการณ์ทำงานสืบสวน กล่าวว่า

 

ปัจจุบัน สังคมไทยได้พัฒนาทางด้านเทคโนโลยีทัดเทียมนานาชาติ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสะดวกรวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีก็ได้เกิดขึ้นมากมายเป็นเงาตามตัวในหลายกรณี ปรากฏว่ามีเด็กและเยาวชนเข้ามาเกี่ยวข้องได้กระทำความผิด และมีคดีขึ้นสู่ศาลเยาวชนและครอบครัวมากขึ้น บทบาทของศาลเยาวชนและครอบครัว ในบริบทใหม่เป็นสำคัญยิ่งกว่าการลงโทษ