ประวิต" ประชุมก.ค.ศ.นัดสุดท้าย
ครั้ง 9/2567 ฝากผลงานให้จดจำ
ก่อนไปนั่งสภาการศึกษา
"เห็นชอบ.... การปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานบริหารสถานศึกษา สายงานบริหารการศึกษา และสายงานนิเทศการศึกษา / การแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา /การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการ ว่าด้วยการกำหนดจำนวนองค์ประกอบ วิธีการได้มา คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการประชุมของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. ....
การปรับปรุงแนวทางการดำเนินการพัฒนาและการประเมินผลการพัฒนา ข้าราชการพลเรือนสามัญที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ มาใช้สำหรับข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) / กรอบแนวคิดการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนอนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิมในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 71 ราย และ
อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิมในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 71 ราย / ขยายเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัจจุบันต่อ"
ผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ครั้งที่ 9/2567 วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2567 โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุม และมี รศ.ดร.ประวิต เอราวรรณ์ เลขาธิการ ก.ค.ศ. เป็นเลขานุการการประชุม ซึ่งที่ประชุมได้มีการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและมีมติที่สำคัญ ดังนี้
1. เห็นชอบ การปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานบริหารสถานศึกษา สายงานบริหารการศึกษา และสายงานนิเทศการศึกษา
ตามที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตาม ว 3/2564 นั้น สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ดำเนินการกำกับ ติดตามและนำความคิดเห็นจากการประชุม ก.ค.ศ. มาพัฒนาและปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งใหม่ เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีการสั่งสมประสบการณ์ มีวุฒิภาวะ มีสมรรถนะและเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงาน รวมถึงเพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และคุณภาพการศึกษาก่อนเข้าสู่ตำแหน่งใหม่
โดยหลักการสำคัญในการปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งใหม่ในครั้งนี้ คำนึงถึง 1) ความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ในการดำรงตำแหน่ง 2) วุฒิภาวะ และ 3) ความเป็นผู้นำทางการบริหารและผู้นำทางวิชาการ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้
1. การเข้าสู่ตำแหน่งในสายงานบริหารสถานศึกษา และบริหารการศึกษา ควรต้องผ่านการดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฯ มาก่อน และควรมีวิทยฐานะไม่ต่ำกว่าชำนาญการพิเศษ และมีระยะเวลาในการช่วยบริหารสถานศึกษาหรือหน่วยงานการศึกษาที่เหมาะสม เนื่องจากต้องเป็นผู้ที่มีการสั่งสมประสบการณ์ในด้านการบริหารวิชาการและความเป็นผู้นำทางวิชาการจนเป็นที่ยอมรับ มีวุฒิภาวะ และสมรรถนะ ที่เหมาะสมแก่การเข้าสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการฯ
2. การเข้าสู่ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ ควรกำหนดช่องทางเพิ่มเติมโดยเปิดโอกาสให้สามารถคัดเลือกบุคคลที่มิใช่ข้าราชการครูฯ ซึ่งมีวุฒิปริญญาโทหรือปริญญาเอก ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ (ยกเว้นสาขาทางด้านการบริหารการศึกษา) และมีประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญระดับสูง สามารถเข้าสู่ตำแหน่งศึกษานิเทศก์
3. ผู้ที่จะเข้าสู่ตำแหน่งสายงานบริหารสถานศึกษา สายงานบริหารการศึกษาและนิเทศการศึกษา ต้องมีใบรับรองการผ่านการพัฒนาสมรรถนะตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด เพื่อให้มีสมรรถนะและความพร้อมในการเข้าสู่ตำแหน่งใหม่ก่อนเข้ารับการคัดเลือก
4. สำหรับมาตรฐานตำแหน่งครูผู้ช่วย และมาตรฐานตำแหน่งครู รวมทั้ง มาตรฐานวิทยฐานะ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกตำแหน่ง เห็นควรให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้เดิม ตาม ว 3/2564 และ ด่วนที่สุด ที่ ศธ 0206.4/1400 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2567 (กำหนดสำหรับสกร.)
ทั้งนี้ เนื่องจากขณะนี้สำนักงาน ก.ค.ศ. อยู่ระหว่างการจัดทำระบบการพัฒนาสมรรถนะก่อนคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งใหม่ ดังนั้น ในส่วนของมาตรฐานตำแหน่งใหม่ ที่กำหนดให้ต้องมีใบรับรองการผ่านการพัฒนาสมรรถนะตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด จึงให้นำคุณสมบัติดังกล่าวมาใช้ในการคัดเลือกเพื่อเข้าสู่ตำแหน่ง หลังจาก ที่ ก.ค.ศ. ได้ออกใบรับรองการผ่านการพัฒนาสมรรถนะในตำแหน่งนั้น ๆ ตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด แล้ว
2. เห็นชอบ การแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ภายหลังจากที่ ก.ค.ศ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินตำแหน่งและวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งครู ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ และตำแหน่งผู้บริหารการศึกษาตาม ว 9 - ว 12 /2564 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นมา
สำนักงาน ก.ค.ศ. ได้ขับเคลื่อนการนำหลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวสู่การปฏิบัติ และได้มีการกำกับ ติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการขอมีวิทยฐานะและเลื่อนวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามาโดยตลอดและพบว่า มีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยื่นคำขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะแล้ว มีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด บางราย ได้นำหลักฐานคลิปการสอนประกอบการประเมินด้านที่ 1 และด้านที่ 2 ที่ได้เสนอไว้เดิม มาเสนอขอรับการประเมินใหม่อีกครั้ง
และพบกรณีที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยื่นคำขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งตามหลักเกณฑและวิธีการฯ ว 9 – ว 12/2564 กำหนดให้ต้องส่งผลงานทางวิชาการด้วยนั้นมีหลายรายที่เมื่อทราบผลการพิจารณาว่าไม่อนุมัติ จะยื่นคำขอใหม่ในภาคเรียนต่อไปทันที ทำให้ผลงานทางวิชาการที่นำมาส่งใหม่นั้นไม่มีคุณภาพเพียงพอ เนื่องจากไม่ได้ใช้ระยะเวลาในการศึกษา วิเคราะห์/วิจัย
เพื่อจัดทำผลงานทางวิชาการให้มีคุณภาพตามหลักวิชาการ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน ครู บุคลากรทางการศึกษา สถานศึกษา และหน่วยงานการศึกษาเท่าที่ควร และเป็นภาระงบประมาณจากการประเมินผลงานทางวิชาการดังกล่าวอย่างมาก
ดังนั้น เพื่อให้การประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นกระบวนการพัฒนาวิชาชีพ ยกระดับคุณภาพการศึกษาให้ส่งผลลัพธ์ถึงผู้เรียนอย่างแท้จริง ก.ค.ศ. จึงเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ว 9 - ว 12/2564 และ ว 18/2567 ดังนี้
1.กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งครู ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้บริหารการศึกษา ทุกวิทยฐานะ ที่เคยยื่นคำขอรับการประเมินแล้วมีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด การขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะเดียวกันในครั้งต่อไป ต้องใช้ไฟล์ดิจิทัลและ/หรือหลักฐานประกอบ การประเมินด้านที่ 1 และด้านที่ 2ที่จัดทำภายหลังจากการยื่นคำขอรับการประเมินครั้งล่าสุด ซึ่งไม่ใช่ไฟล์ดิจิทัล และ/หรือหลักฐานที่เคยใช้ประกอบการยื่นคำขอมีวิทยฐานะหรือเลื่อนวิทยฐานะมาแล้ว
2. กำหนดระยะเวลาการยื่นคำขอเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ ทุกตำแหน่ง ให้ยื่นคำขอได้ตลอดปี รอบปีละ 1 ครั้ง และผลงานทางวิชาการต้องไม่ใช้ผลงานเรื่องเดิมที่เคยนำมาเสนอขอรับการประเมินเพื่อขอมีวิทยฐานะและเลื่อนเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษมาก่อน
ทั้งนี้ เพื่อให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้มีการพัฒนาการปฏิบัติงานจนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ต่อผู้เรียน หรือการพัฒนาการบริหารสถานศึกษา หรือการพัฒนาการนิเทศการศึกษา หรือการพัฒนาการบริหารและจัดการศึกษาตามมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะที่ขอรับการประเมิน เพื่อให้เกิดผลต่อการพัฒนาคุณภาพการปฏิบัติงานและส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบ การปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการ ว่าด้วยการกำหนดจำนวน องค์ประกอบ วิธีการได้มา คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการประชุมของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. ....
สืบเนื่องจากที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาทั้ง 245 เขต จะครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ จึงเห็นควรให้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการฯ เพื่อใช้ในการดำเนินการสรรหาคณะอนุกรรมการฯ ชุดใหม่ โดยสำนักงาน ก.ค.ศ. ได้รับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงหลักเกณฑ์ฯ และได้เชิญผู้แทน สพฐ. คณะอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา ผอ.สพท. และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมระดมความคิดเห็น ข้อเสนอแนะและดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดย ก.ค.ศ. มีมติเห็นชอบ (ร่าง) หลักเกณฑ์และวิธีการ ว่าด้วยการกำหนดจำนวน องค์ประกอบ วิธีการได้มา คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และการประชุมของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. ....
ทั้งนี้ เพื่อให้การสรรหาคณะอนุกรรมการฯ ได้ครบตามองค์ประกอบ สามารถสรรหาบุคคลผู้มีคุณสมบัติมาดำรงตำแหน่งได้อย่างครบถ้วน รวดเร็ว ถูกต้องมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน และเพื่อให้การบริหารงานบุคคลในภูมิภาค ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อประโยชน์ของทางราชการต่อไป
4. เห็นชอบ การปรับปรุงแนวทางการดำเนินการพัฒนาและการประเมินผลการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ มาใช้สำหรับข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2)
เนื่องจากสำนักงาน ก.พ. ได้ปรับปรุงแนวทางการดำเนินการพัฒนาและการประเมินผลการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ เพื่อให้ส่วนราชการสามารถดำเนินการพัฒนาข้าราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ คล่องตัวและเกิดประสิทธิผล และให้ส่วนราชการ ใช้แนวทางการดำเนินการพัฒนาและการประเมินผลการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการที่ได้ปรับปรุงใหม่สำหรับข้าราชการพลเรือนสามัญที่บรรจุ เข้ารับราชการตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไป
ดังนั้น เพื่อให้แนวทางการดำเนินการพัฒนาและการประเมินผลการพัฒนา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังกล่าว จึงเห็นควรยกเลิกการดำเนินการพัฒนาและการประเมินผลการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1013/ว 25 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2553
และให้นำการปรับปรุงแนวทางการดำเนินการพัฒนาและการประเมินผลการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญที่อยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1013.3/ว 1 ลงวันที่ 15 มกราคม 2567 มาใช้บังคับกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามมาตรา 38 ค. (2) โดยอนุโลม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ก.ค.ศ. มีมติอนุมัติ
5. เห็นชอบ กรอบแนวคิดการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา
ตามที่ ก.ค.ศ. ในการประชุมครั้งที่ 11/2564 เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 ได้มีมติเห็นชอบหลักการเกี่ยวกับการจัดทำโครงการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา สำนักงาน ก.ค.ศ. จึงได้ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ วิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา
รวมทั้งยังได้ปรับปรุงมาตรฐานตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาใหม่ โดยกำหนดให้การมีใบรับรองการผ่านการพัฒนาสมรรถนะผู้บริหารสถานศึกษา และการผ่านการพัฒนาก่อนแต่งตั้งตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กำหนดเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งแตกต่างจากมาตรฐานตำแหน่งและมาตรฐานวิทยฐานะ ตาม ว3/2564 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
โดยการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษานี้ เป็นการพลิกโฉมการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่ง โดยมีแนวคิดในการคัดเลือกข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีความรู้ ความสามารถ และมีสมรรถนะตรงตามมาตรฐานตำแหน่งของผู้บริหารสถานศึกษา ที่ ก.ค.ศ. กำหนด
เมื่อได้รับการบรรจุและแต่งตั้งเป็นผู้บริหารสถานศึกษาแล้วสามารถปฏิบัติงานได้ทันที โดย ก.ค.ศ. ได้ปรับมาตรฐานตำแหน่งของข้าราชการครูฯ และปรับปรุงกรอบการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา โดยมีการดำเนินการพัฒนาสมรรถนะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหาร 4 ขั้นตอน ดังนี้
(1) Screening การให้ผู้มีคุณสมบัติเข้ารับการประเมินสมรรถนะและพัฒนา ก่อนเป็นผู้มีคุณสมบัติในการเข้ารับการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาด้วยการประเมินความเหมาะสมในการเป็นผู้บริหารสถานศึกษาในรูปแบบ 360 องศา หากผ่านเกณฑ์ จึงจะเข้าสู่การประเมินสมรรถนะ 6 กลุ่มหลัก 19 สมรรถนะย่อยโดย AI เพื่อค้นหาสมรรถนะหรือทักษะที่มี ที่ขาด ที่ควรพัฒนาหรือต่อยอด
(2) Developing เข้ารับการพัฒนาสมรรถนะหรือทักษะ ตามผลการวิเคราะห์ของ AI ผ่านระบบออนไลน์และ e - Learning ตามหน่วยการเรียนรู้และระยะเวลาที่ ก.ค.ศ. กำหนด
(3) Selection กรณีผ่านการพัฒนาจะได้รับใบรับรองการผ่านการพัฒนาสมรรถนะเพื่อนำไปใช้เป็นคุณสมบัติหนึ่งในการเข้ารับการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งผู้ผ่านการคัดเลือกจะได้รับการพัฒนาการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะตำแหน่งโดยส่วนราชการ ก่อนได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา
(4) Proposed Successor เมื่อได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งให้มีการทำบันทึกข้อตกลงพัฒนางาน (PA) ควบคู่ไปกับการพัฒนาในรูปแบบ Coaching และ Mentoring โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิหรือวิทยากรพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์ให้คำปรึกษา แนะนำเทคนิควิธีการในการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าว
ทั้งนี้ ก.ค.ศ. ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินการเข้ารับการประเมินสมรรถนะและการพัฒนาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยไม่ให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป ลดความยุ่งยากและซับซ้อนในการดำเนินการ โดยสำนักงาน ก.ค.ศ. เตรียมจัดทำระบบในการพัฒนาด้วยระบบ e- Learning เพื่อไม่กระทบเวลาในการจัดการเรียนรู้หรือบริหารสถานศึกษาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการในการเปิดโอกาสให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถพัฒนาตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) และนำเทคโนโลยี AI มาใช้ประโยชน์
อีกทั้งยังเป็นการวางแผนพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นสำหรับแต่ละบุคคลโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์สมรรถนะที่จำเป็นสำหรับผู้ที่จะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาต่อไป
6. อนุมัติ ย้ายและแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะเดิมในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งใหม่ จำนวน 71 ราย ทั้งนี้ ให้มีผลการย้ายและแต่งตั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567
7. อนุมัติ ขยายเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาให้ปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาปัจจุบันต่อไปอีก เป็นระยะเวลา 1 ปี กรณีครบวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี จำนวน 2 ราย