สธ.ตรวจพบสภาพจิตเด็กประถมฯ 4 จว.ชายแดนใต้น่าห่วง! เสี่ยงป่วยจิตเวช


นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมติดตามผลการดำเนินงานของศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 จ.ปัตตานีและโรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ จ.สงขลา ในการดูแลรักษาผู้ป่วยจิตเวชและส่งเสริมสุขภาพจิตแก่ประชาชนในเขตสุขภาพที่ 12 ประจำปีงบประมาณ 2560 ประกอบด้วย 7 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล พัทลุง และตรัง 

โดยเขตสุขภาพที่ 12 เป็นเขตที่กรมสุขภาพจิตจัดบริการดูแลเป็นพิเศษ  เนื่องจากมีปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้นในพื้นที่มานานกว่า 10 ปี ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน ผลการสำรวจปัญหาสุขภาพจิตในกลุ่มประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อยู่ใน จ.สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ในปี 2559 พบมีอัตราป่วยเป็นโรคทางจิตเวชร้อยละ 3.4 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่สำรวจในปี 2556 อยู่ที่ร้อยละ 3.2 เข้าถึงบริการยังค่อนข้างน้อย 

ซึ่งกรมฯได้พัฒนาสถานพยาบาลในพื้นที่ คือ โรงพยาบาลชุมชน และอบรมพยาบาลจิตเวชหลักสูตร 4 เดือน และ2 สัปดาห์ เป็นเครือข่ายบริการ เพื่อให้ผู้ป่วยและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิตได้รับการรักษา สามารถอยู่ในชุมชนได้โดยไม่ต้องล่ามโซ่ตรวนเช่นในอดีต โดยเฉพาะผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการรุนแรง ซับซ้อน ทั้ง 7 จังหวัด ขณะนี้อยู่ในความดูแลของจิตแพทย์เชี่ยวชาญรพ.จิตเวชสงขลาฯเพิ่มขึ้นจาก 481 คนในปี2558 เป็น750 คนในปี 2560

สำหรับปัญหาสุขภาพจิตที่น่าห่วงที่สุดคือ โรคพีทีเอสดี  หรือที่เรียกว่าโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ( Post Traumatic Stress Disorder: PTSD) ซึ่งจะมีภาพหลอกหลอนผุดซ้ำขึ้นมา นอนไม่หลับ คุกคามการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก ซึ่งผลสำรวจในปี 2557 พบว่าเหตุความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้มีอัตราเกิดโรคพีทีเอสดี สูงถึงร้อยละ 2.6 สูงกว่าพื้นที่ทั่วไปที่พบประมาณร้อยละ 0.5 หรือสูงกว่าประมาณ 5 เท่าตัว

“ประเด็นสำคัญที่พบในปีนี้ และน่าเป็นห่วงอย่างมาก พบว่าในกลุ่มเด็กนักเรียนประถมศึกษาที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบใน 4  จังหวัดชายแดนใต้ ที่เข้าร่วมในโครงการเฝ้าระวังโรคพีทีเอสดีของรพ.จิตเวชสงขลาฯ เพื่อตรวจคัดกรองและให้การดูแลช่วยเหลือเพิ่มการเข้าถึงบริการเยียวยาทางจิตใจ ในปี 2560 จำนวน 4,178 คน จากโรงเรียน 26 แห่ง”

อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวต่อว่า ผลจากการคัดกรองด้วยแบบประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์ ความไม่สงบหรือคราย 8 ข้อ (Children  Revised Impact of Event Scale :CRIES-8) พบว่ามีเด็กเสี่ยงป่วยโรคพีทีเอสดี เช่น มีอาการหวาดผวาเป็นพักๆ มีเหตุการณ์ผุดขึ้นในใจ เป็นต้น จำนวน 1,101 คน เฉลี่ยร้อยละ 27

พบสูงที่สุดใน จ.ปัตตานีร้อยละ 39, จ.สงขลาร้อยละ 31, ยะลาร้อยละ 21 และนราธิวาสร้อยละ 18 นับเป็นการค้นพบข้อมูลครั้งสำคัญของประเทศ  เด็กที่เป็นโรคนี้จะมีปัญหาการเรียน ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก  หากไม่ได้รับการรักษาจะมีโอกาสกลายเป็นผู้ป่วยจิตเวชในที่สุด  

ซึ่งทีมจิตแพทย์จะให้การดูแลรักษาทันทีเบ็ดเสร็จที่โรงเรียน และติดตามต่อเนื่อง โดยจะดำเนินการขยายโครงการนี้เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ 2561

ทั้งนี้ ในการป้องกันปัญหานี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่นั้น ทางกรมสุขภาพจิตได้เปิดคลินิกให้บริการผู้ป่วยโรคพีทีเอสดีโดยเฉพาะที่โรงพยาบาล (รพ.) จิตเวชสงขลาฯ บริการแบบเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว เพื่อสร้างความเชี่ยวชาญและพัฒนาองค์ความรู้การดูแลผู้ป่วยในภาวะวิกฤตในระดับประเทศ  

ซึ่งจากให้บริการพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีโรคร่วมด้วยอย่างน้อย 4 โรค ที่พบมากอันดับ 1 ได้แก่ อาการซึมเศร้า พบสูงถึงร้อยละ 90 รองลงมาคือคิดฆ่าตัวตายร้อยละ 55 ใช้สารเสพติดร้อยละ 16 และดื่มสุราร้อยละ 7 

จึงได้วิจัยและพัฒนาเครื่องมือคัดกรอง 2 คำถาม (2P) ค้นปัญหาและอาการเพียง 2 คำถาม คือถามถึงเหตุรุนแรงที่ประสบในอดีต และผลกระทบกับชีวิตในปัจจุบัน ในกลุ่มเสี่ยง เช่น บุคคลใกล้ชิดเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ถูกทำร้ายร่างกายจิตใจ 

จากการทดสอบพบว่า มีความแม่นยำสูงและใช้การได้ดีมาก  ขณะนี้ได้นำไปใช้คัดกรองที่โรงพยาบาลทุกแห่งในเขตสุขภาพที่ 12 และแปลงเป็นภาษามลายูด้วย ซึ่งเป็นภาษาถิ่นเพื่อให้ประชาชนเข้าใจง่ายขึ้น โดยกรมฯจะขยายใช้แบบคัดกรองนี้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศในปีงบประมาณ 2561 เพื่อใช้คัดกรองหาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่รุนแรงทุกสถานการณ์  และดำเนินการเยียวยาได้อย่างทันท่วงที  

อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวด้วยว่า สำหรับในกลุ่มนักเรียนจะเพิ่มการดำเนินการ 2 เรื่องในปี 2561 ประการแรก คือ การสร้างความพร้อมในการเผชิญเหตุรุนแรง โดยฝึกซ้อมทั้งชุมชนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ เพื่อสร้างความพร้อมในการเผชิญเหตุ ให้นักเรียนมีทักษะ ความพร้อมทางจิตใจ ไม่ตื่นตระหนก สามารถฟื้นตัวได้เร็วหลังเกิดเหตุ ขณะเดียวกันจะเฝ้าระวังคัดแยกเด็กที่มีความผิดปกติให้ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที รูปแบบนี้สามารถขยายผลใช้ในพื้นที่อื่นๆได้ด้วย 

ประการที่ 2 คือการพัฒนาแบบคัดกรองหานักเรียนที่ป่วยเป็นโรคจิตเวช โดยเฉพาะ 4 โรคที่พบบ่อย ได้แก่ ออทิสติก สติปัญญาบกพร่อง  สมาธิสั้น และบกพร่องทางการเรียนรู้  และคัดกรองโรคซึมเศร้า ความเสี่ยงโรคพีทีเอสดี  ผ่านทางแอพพลิเคชั่น ทั้งครู อสม. และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข สามารถตรวจสอบได้ทางมือถือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต    เพื่อจัดระบบการดูแลเด็กที่เหมาะสมระหว่างครู อสม. เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และผู้ปกครอง คาดว่าจะใช้การได้ในปลายปีนี้

“รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพจิตในระดับชุมชน โดยนำหลักศาสนามาประยุกต์ใช้ในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพจิตดี มีความสุข อยู่ในสังคมอย่างมีคุณค่า โดยมีศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 ดำเนินการสนับสนุนองค์ความรู้ทางวิชาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว