นักการศึกษาเตือนศธ. เรียนฟรีที่ไม่เกิดขึ้นจริง ส่อ
ขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
วิชชา เพชรเกษม : คอลัมนิสต์ EDUNEWSSIAM รายงาน
❝...การจัดการศึกษาในประเทศไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ทำให้แนวคิดการศึกษาฟรีเป็นเพียงสโลแกนที่ไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ยังคงเป็นอุปสรรคที่ทำให้เด็กหลายคนไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาคุณภาพได้ และบางครั้งยังนำไปสู่การหลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างสิ้นเชิง...❞
ในเวทีสาธารณะที่จัดขึ้นโดยสภาผู้บริโภค เมื่อปลายเดือน สิงหาคม 2567 มีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายภาคส่วน เรียกร้องให้มีการตรวจสอบและปรับปรุงกลไกการจัดสรรงบประมาณ และการบริหารจัดการที่ทำให้การศึกษาฟรีไม่เกิดขึ้นจริง
ประเด็นจึงไม่เพียงแต่ท้าทายความเป็นธรรมของระบบการศึกษาเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการภาครัฐที่ต้องสนับสนุนสิทธิพื้นฐานนี้
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า เล็งเห็นถึงความสำคัญของสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนมีสิทธิเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตามรัฐธรรมนูญ 12 ปี ที่กำหนดให้เรียนฟรี 15 ปี
แต่ปัจจุบันการพัฒนาการเรียนการสอนมีความพิเศษมากขึ้น ทำให้เกิดช่องทางการเรียกเก็บเงิน ส่งผลให้การเรียนฟรีไม่เกิดขึ้นจริง ทั้ง ๆ ที่การศึกษาควรเป็นบริการขั้นพื้นฐานของประชาชน จะทำอย่างไรให้เรียนฟรีเกิดขึ้นจริง ให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษาโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวยืนยันว่า เรียนฟรีทำได้จริง หากภาครัฐมีความมุ่งมั่นผลักดันเหมือนนโยบายเงินดิจิทัล โดยเสนอให้สิทธิเรียนฟรี ต้องเป็นสิทธิที่ติดตัวเด็กทุกคน เหมือนกับสิทธิการเข้าถึงบริการสุขภาพ จากนั้นก็เสนอให้รัฐบาลควรมีการระดมทรัพยากรให้กับการศึกษามากกว่าการใช้จ่ายในส่วนอื่นที่อาจไม่มีผลตอบแทนทางสังคมเท่าที่ควร การศึกษาควรได้รับการลงทุนเป็นอันดับแรกเพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นอนาคตของชาติ
ขณะที่ ดร.เทอดชาติ ชัยพงษ์ พรรคเพื่อไทย ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการศึกษาตั้งแต่กฎหมายแม่บททางการศึกษา กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาซึ่งล้าหลังไม่ทันสมัย ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมเพราะไม่ได้ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญที่ชัดเจน ตลอดด้านบริหารจัดการงบประมาณที่ไม่เชื่อมโยงกัน จึงเป็นเหตุที่ทำให้การเรียนฟรีไม่มีจริง พร้อมเสนอให้มีการกระจายงบประมาณไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการบริหารจัดการการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษา มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาอาชีวะ กฎหมายที่ล้าหลัง และ ที่จะชี้เห็นว่าเด็ก คือ ทรัพยากรของชาติที่จะสร้างประเทศในอนาคต
ด้าน ภัทรพล แก้วสกุณี พรรครวมไทยสร้างชาติ มองว่า เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะจัดการปัญหาการจัดสรรงบฯด้านการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสนับสนุนให้การศึกษาเกิดความเสมอภาค และ ลดภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของผู้ปกครอง เช่น เรื่องการทำโซลาร์รูฟ ในโรงเรียน เพื่อช่วยลดค่าไฟ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของโรงเรียนและผู้ปกครองได้ในอีกทางหนึ่งด้วย
ขณะที่ ธีรศักดิ์ จิระตราชู พรรคประชาชน กล่าวถึงความสำคัญของเจตจำนงทางการเมืองในการพัฒนาระบบการศึกษา โดยเชื่อว่าทุกคนในระบบการศึกษาต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการพัฒนาเพื่อสร้างโอกาสให้เด็กทุกคน ไม่ใช่เฉพาะสำหรับรัฐบาลหรือพรรคการเมืองเท่านั้น
“ทุกวันนี้ต้องบอกว่า เมื่อไรที่เข้าสู่การศึกษาของรัฐ ชีวิตจะ ‘มีค่า’ ทันที ทั้งค่าบำรุงการศึกษา ค่าชุดนักเรียน ค่าแอร์ ฯลฯ ถึงแม้ว่ากฎหมายครอบคลุมในระดับหนึ่ง แต่ในระดับปฏิบัติการยังไม่เกิดเจตจำนงทางการเมือง ไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ระบุในกฎหมาย ทำให้ปัญหาด้านการศึกษาไม่ถูกแก้ไข
กล่าวต่ออีกว่า การพัฒนาการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลต้องเลือกว่าจะพัฒนาสิ่งใดก่อน แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป พร้อมเสนอว่า หากผันเงินจากกระทรวงอื่น ๆ มาเป็นงบประมาณสำหรับเรื่องเรียนฟรี 15 ปี ในจำนวน 1 แสนล้านบาท ก็จะทำให้การดำเนินการในระดับกระทรวงทำได้จริง
ภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ข้อมูลว่า ในแต่ละปีจะมีแนวทางการสนับสนุนค่าใช้จ่ายแจกจ่ายไปตามโรงเรียน ตามแต่ละเกณฑ์ มีขั้นตอนปฏิบัติ มีกรอบมีข้อยกเว้น ส่วนความพิเศษที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เช่น ห้องพิเศษ ห้องเรียนติดแอร์ ส่วนหนึ่งอาจปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความต้องการของผู้ปกครองส่วนหนึ่ง และการบริการจัดการของโรงเรียน แต่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน พยายามที่จะดูแลให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นแนวทางเดียวกันและเกิดความพึงพอใจทุกฝ่าย
นอกจากนี้ คมเทพ ประภายนต์ ตัวแทนผู้ปกครองและตัวแทนเด็กนักเรียน ได้ส่งเสียงสะท้อนปัญหาที่ถูกเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษาในเวที โดยระบุว่า หลังจากปี 2542 มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายการเกี่ยวกับการศึกษาอยู่เป็นระยะ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป คือ การจัดเก็บเงินที่เกี่ยวกับการศึกษา หรือที่โรงเรียนส่วนใหญ่มักใช้คำว่า “ค่าบำรุงการศึกษา” ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่กำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษาขั้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
❝...และอีกปัญหาหนึ่ง คือ ประกาศกระทรวงศึกษา ฉบับต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนที่ระบุถึงการจัดเก็บค่าบำรุงการศึกษานั้น หากไม่ได้นำไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น ❝ประกาศเถื่อน ❞
ซึ่งประกาศเหล่านั้น กลับทำให้เด็กจำนวนมากต้องหลุดจากระบบการศึกษา เมื่อข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มีเด็กออกจากระบบการศึกษา 19.4 ล้านคน และเชื่อว่าเด็กเกินครึ่งในจำนวนดังกล่าว หลุดออกจากระบบการศึกษาเพราะไม่ได้จ่ายเงินบำรุงการศึกษา
“จากการทำงานเรื่องการศึกษามา 20 ปี พบว่ามีเด็กจำนวนมากที่หลุดออกจากระบบการศึกษา เนื่องจากไม่มีเงินค่าจ่ายบำรุงการศึกษา และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการศึกษา และมีนักเรียนจำนวนมากที่ฆ่าตัวตาย บางกรณีที่ฆ่ายกครัวก็มี โดยมีสาเหตุมาจากเรื่องการศึกษา และเมื่อเกิดเรื่องกระทรวงศึกษาไม่ทำอะไรย้ายครูหนีอย่างเดียว ทั้งนี้ หากยึดกฎหมายเป็นหลัก โรงเรียนจะไม่สามารถจัดเก็บค่าบำรุงการศึกษาได้” นายคมเทพ กล่าว
ขณะที่ ณัฏฐนาท ปฐมวรชัย เจ้าของเพจ How to ได้ใจลูกวัยรุ่น สะท้อนปัญหาเรื่องการศึกษาโดยระบุว่า ทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเม็ดเงินสนับสนุนจากผู้ปกครอง ทำให้เด็กมีโอกาสมากขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ทั้งมาตรฐานของคุณครูและหลักสูตร
“คำถามที่อยู่ในหัวเสมอ คือ ‘เรียนฟรีมีจริงเหรอ?’ เพราะตั้งแต่ลูกเรียนอนุบาลจนถึงมหาลัย ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่เรียนห้องพิเศษ ห้องธรรมดา เราต้องจ่ายเงินตลอดเลย
ซึ่งนอกจากค่าบำรุงการศึกษาแล้วจะมีค่าอื่น ๆ แอบแฝง เช่น ค่าเครื่องปรับอากาศ ค่าไฟฟ้า ยังไม่นับรวมค่าชุดนักเรียน พละ ลูกเสือ ค่าโทรศัพท์มือถือ หรือค่าเรียนพิเศษเพิ่มที่โรงเรียนด้วย นั่นแปลว่า เด็กที่ผู้ปกครองไม่มีกำลังสนับสนุนจะได้รับโอกาสที่ไม่เท่าเทียมกับเด็กคนอื่น ๆ”
อย่างไรก็ตาม ปริยกร สุวรรณ, เลขาธิการสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ทุกคนกำลังพูดถึงนั้น ควรเท่าเทียมในคุณภาพเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด หรือ ห้องเรียนพิเศษต่าง ๆ เช่น ห้องเรียนเตรียมวิศวะ เตรียมแพทย์ ห้องเรียนสองภาษา
นอกจากนี้ ยังได้นำเสนอข้อมูลซึ่งสะท้อนถึงปัญหาตัวชี้วัดการศึกษาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงและไม่คำนึงถึงการเรียนรู้นอกห้องเรียน นอกเหนือจากหลักสูตรปกติถูกจำกัดโอกาสแล้ว โรงเรียนควรเป็นพื้นที่ให้เด็กสามารถสร้างมุมมอง, จินตนาการ, และค้นหาตัวเองได้ และหลักสูตรการต้องเหมาะสมยุคสมัย ซึ่งการศึกษาควรเป็นบริการสาธารณะที่ฟรีและมีคุณภาพ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการค้าที่กำลังกลายเป็นความเคยชินในสังคมไทย
“ทุกวันนี้โรงเรียนเป็นพื้นที่ที่ทำธุรกิจการศึกษาที่เข้มข้นขึ้น มีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มากมาย แต่เงินที่จ่ายไปกลับไม่ได้การันตีคุณภาพ เวลาเราซื้อข้าว ยังรู้ว่าจะได้อิ่มท้อง แต่เวลาเสียค่าใช้จ่ายไปกับเรื่องการศึกษาไม่สามารถการันตีคุณภาพการศึกษาที่เราจะได้รับได้เลย”
อย่างไรก็ตาม อรรถพล อนันตวรสกุล ประธานคณะทำงานด้านการศึกษา สภาผู้บริโภคกล่าวเสริมว่า การศึกษาเป็นบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานที่รัฐต้องจัดสรรให้ แต่ปัจจุบัน การศึกษากลายเป็นเรื่องของการค้า โรงเรียนกลายเป็นกำแพงที่สกัดกั้นเด็ก และกีดกันเด็กจากระบบการศึกษา ปล่อยให้บริการสาธารณะกลายเป็นสินค้าได้อย่างไร อย่ามัวถกกันว่าการศึกษาฟรีหรือไม่ฟรี แต่ควรเดินไปข้างหน้าการศึกษาต้องฟรี และฟรีอย่างมีคุณภาพ
“เราใช้งบประมาณไปกับเรื่องการศึกษาเยอะมาก แต่ทำไมยังไม่ฟรี โรงเรียนเต็มไปด้วยรูรั่วของความเหลื่อมล้ำ ด้วยกลไกของภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพ ขอให้ทุกคนร่วมส่งเสียงเพื่ออนาคตของรุ่นต่อ ๆ ไป เด็กโตขึ้นทุกวันการศึกษารอไม่ได้ อย่าให้การเรียนฟรีเป็นความฝันที่ไม่เกิดขึ้นจริง และกลายเป็นเรื่องของการค้า จนเราเกิดความเคยชิน” อรรถพล กล่าว
เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง edunewssiam มีความเห็นว่า ควรมีการตรวจสอบและปรับปรุงนโยบายการเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษา รวมถึงปรับแก้กฎหมายและประกาศที่ขัดต่อหลักการการศึกษาฟรีตามรัฐธรรมนูญ และควรมีการกำหนดมาตรการที่เข้มงวดในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิในการศึกษาที่เป็นธรรมสำหรับทุกคนในสังคม