“เปิดศูนย์เรียนเด็กข้ามชาติ” สะกิด ศธ.
ให้ระวังการฟอกขาว แปลงร่างเป็นคนไทย
ในอนาคต
เรื่อง : AYA IRRAWADEE : THESTATESTIMES
New Gen News Agency
สำนักข่าวออนไลน์สำหรับคนรุ่นใหม่
(9 ก.ย. 67) ล่าสุดไม่นานมานี้ เอย่า ได้รับข้อมูลจากหลากหลายทางถึงการเปิดศูนย์การเรียนรู้ในไทยอย่างโจ่งครึ่ม ทั้งที่ในประเทศไทยมีนโยบายให้เรียนฟรี แม้จะเป็นเด็กต่างชาติก็ตาม
แต่ทว่า ก็ยังมีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ โดยให้การศึกษาสำหรับเด็กที่ไม่เป็นไปตามหลักสูตรการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการไทยกำหนด รวมถึงการฝึกงานฝึกอาชีพ เพื่อรองรับงานที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนดของแรงงานต่างด้าวให้เข้ามาฝึกอาชีพด้วยเช่นกัน
แต่ก่อนอื่น เราควรมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ศูนย์การเรียนรู้ในไทย ต่างจากโรงเรียนอย่างไร
ศูนย์การเรียนรู้ หมายถึง การจัดพื้นที่การเรียนทางกายภาพ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถควบคุมการเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล หรือผู้เรียนในกลุ่มเล็ก ตามงานที่โปรแกรมกำหนดให้ โดยจัดเป็นคูหาหรือโต๊ะ และมีสื่อการเรียนในรูปแบบสื่อประสม ช่วยในการเรียนรู้โดยมีครูผู้สอนคอยแนะนำ
โดยตามกฎหมายแล้วระบุไว้ว่า "ศูนย์การเรียนรู้ คือ สถานที่เรียนที่องค์กรชุมชนหรือเอกชนจัดตั้งขึ้นเพื่อจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยไม่แสวงหากำไร
แต่การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา โดยสามารถจัดการเรียนการศึกษานอกระบบได้ตามอัธยาศัยตามที่ศูนย์การเรียนรู้นั้น ๆ พัฒนาขึ้น
แต่จะต้องยึดหลักคือ มุ่งเรียนรู้จากสถานที่จริง เป็นแหล่งเรียนรู้ในพื้นที่หรือภูมิปัญญาท้องถิ่น"
แน่นอนว่าข้อกำหนดดังกล่าวนี้ เป็นการกำหนดกรอบกว้าง ๆ เพื่อให้ภาคเอกชนที่มีเจตจำนงที่ดีในการที่จะมอบความรู้ได้อย่างอิสระ มามอบความรู้ให้แก่ผู้สนใจ โดยใช้บ้านหรือพื้นที่ตนเองเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้หรือโรงเรียนปราชญ์ชาวบ้าน นั่นเอง
แต่ในปัจจุบัน ด้วยช่องโหว่ของกฎกระทรวง และ ความเพิกเฉยของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก็มิอาจทราบได้
ทำให้มีกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้บัตรประชาชนไทยมาเปิดสมาคม-มูลนิธิ เพื่อใช้เป็นแหล่งพักเงินและใช้เงินเหล่านี้ในการเปิดศูนย์การเรียนรู้ ที่จะเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนของคนต่างด้าวที่สอนด้วยระบบของประเทศนั้น ๆ อย่างเป็นล่ำเป็นสัน
เอย่า ทราบมาว่า ตอนนี้มีการเปิดศูนย์การเรียนรู้ในแม่สอด และอำเภอตามตะเข็บชายแดนนับร้อยศูนย์ โดยโรงเรียนเหล่านั้นไม่ได้สอนหนังสือตามแผนการศึกษาของไทยด้วยซ้ำ
จนอดสงสัยไม่ได้ว่า สำนักงานพื้นที่เขตการศึกษาอนุมัติให้เปิดมาได้อย่างไร
และเช่นกัน ก็มีรายงานอีกว่า ในมหาชัยเองและรวมถึงในหลายเขตในกรุงเทพมหานครนั้น ก็มีศูนย์การเรียนรู้แบบนี้มากมาย และสอนด้วยครูที่หลบหนีเข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมาย
รวมถึงไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูด้วย อีกทั้งไม่ได้สอนในหลักสูตรของไทยอีกต่างหาก
ที่สำคัญ!! เขาสอนอะไร? เขาปลูกฝังอะไรให้คนของเขาในประเทศไทย? และไม่มีใคร-หน่วยงานไหนไปประเมินเลยหรือ?
รึว่าต้องการรายงานปีละครั้งจากศูนย์การเรียนรู้ตามที่กฎกระทรวงระบุไว้ก็พอ
หลังการรัฐประหาร มีรายงานว่า กลุ่มผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และเหล่าสมาคม มูลนิธีที่เป็น NGO เหล่านี้ ก็ตีอกชกปีก ตั้งตัวรับคนเหล่านี้มาทำงาน
ตรงนี้ถามว่าผิดกฎหมายไทยหรือไม่? เห็นแล้วก็ไม่ค่อยแปลกใจเลยว่า ทำไมองค์กรเหล่านี้ถึงพยายามจะให้สิทธิ์คนต่างด้าวลืมตาอ้าปากได้ แทนที่จะผลักดันให้กลับประเทศ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ประการสำคัญ ก็เป็นผลจากการที่เราไม่เคยเข้าไปตรวจสอบศูนย์การเรียนรู้เหล่านี้
และหากวันใดวันหนึ่งคนเหล่านี้จะลุกฮือขึ้นมายึดดินแดนไทย หรือเรียกร้องขอแบ่งแยกดินแดน แบ่งแยกการปกครอง ก็คงไม่แปลกนัก
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กับ โรงเรียนสอนศาสนาในอดีต ที่ไม่เคยมีใครกำกับดูแลก็มีให้เห็นมาแล้วว่า
ประเทศไทยต้องเสียชีวิต ทรัพยากรมากมายแค่ไหนกับการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทุกวันนี้ ประเทศไทยให้โอกาสการศึกษาขั้นพื้นฐานแก่เด็กทุกชาติพันธุ์ ให้ได้เรียนฟรีอยู่แล้ว ฉะนั้นคำถาม คือ ณ วันนี้ เราควรต้องหันมาจัดการกำกับดูแลศูนย์การเรียนรู้พวกนี้ได้หรือยัง
รวมถึงมองไปถึงกลุ่มมูลนิธิ สมาคม NGO ที่ให้การสนับสนุนว่ามีเส้นทางเงินมาจากไหน
อีกทั้งกำกับดูแลการเรียนการสอนเพื่อให้ศูนย์การเรียนรู้ที่เปิดมีคุณภาพ และ เพื่อคนไทยหรือ คนที่ต้องการจะอยู่ในไทยจริง ๆ
ไม่ใช่โรงเรียนต่างแดนของคนพลัดถิ่นหรือที่ซ่องสุม เพื่อใช้ฟอกขาวในการเป็นคนไทยในอนาคต