หยิกแก้มหยอก ประจำวันที่ 2-8 พ.ค.2563


หยิกแก้มหยอก “สิงห์ ราชดำเนิน” ประจำวันที่ 2-8 พ.ค.63 ในช่วงสถานะการณ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเนื่องมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าครม.จะกำหนดเป็นอย่างอื่น ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป...ขณะที่ ศธ.ไทย ยังไม่ส่งสัญญาณจะเลื่อนเปิดเทอมจากเดือนกรกฎาคมไปเป็นวันหรือเดือนอื่นไม่ แต่ นายชินโซ อาเบะ นายกฯของญี่ปุ่น กำลังพิจารณาเลื่อนเปิดเทอมออกไปเป็นเดือน ก.ย.แล้ว ได้รับการขานรับจาก นายโคอิจิ ฮากิอุดะ รมต.ศธ.โดยมีข้อแม้ว่า หากได้รับสนับสนุนอย่างกว้างขวาง ทุกฝ่ายก็ควรร่วมรับผิดชอบที่จะให้ความร่วมมือด้วยเช่นกัน...

...น่าสนน่าคิด กับ กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองไปที่การปรับตัวของครูในสังกัด สพฐ.ถึงการเรียนการสอนออนไลน์ ตกอยู่ภายใต้สถานการณ์บังคับต้องเปลี่ยนแปลง แต่ต้องมาเผชิญปัญหาค่าใช้จ่ายที่จะต้องเพิ่มขึ้น รวมถึง อุปกรณ์การสื่อสารทั้งของครูและนักเรียนเชื่อมต่อกันไม่ดี ทำให้ขาดคุณภาพในการสื่อสาร ในพื้นที่ชนบทห่างไกลสัญญาณอินเตอร์เน็ตและเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ไม่เสถียร ขืนลุยถั่วไปข้างหน้าอย่างเดียว มี แต่เสียงเจริญพรนะโยม...ของฟรี ที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้ก่อตั้งและประธาน บ.เอ็ดดูเคชั่น เทคโนโลยี จำกัด จัดให้นักเรียนกว่า 8 ล้านคนทั่วประเทศได้เรียนฟรี เข้าถึงในทุกวิชา ทุกระดับชั้น ผ่านสมาร์ทโฟนของตนเองได้ทุกที่ทุกเวลา เสมือนเป็น "Netflix ของการศึกษาไทย" ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอพ "StartDee" ผ่านแอพ  AIS PLAY ได้ตั้งแต่เดือน พ.ค.นี้เป็นต้นไป ทั้งระบบแอนดรอยด์และไอโอเอส... เป็นบริการพิเศษในโครงการ "School For All" ปลดล็อกให้เด็กเข้าถึงเนื้อหาการเรียนการสอนทุกส่วนในแอพพลิเคชั่นฟรี จัดการสอนเพิ่มเติมทุกวันฟรีโดยครูชั้นนำในแต่ละวิชาผ่านการไลฟ์สตรีมในแอพพลิเคชั่น และ FREE Internet with AIS เป็นเวลา 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 15 พ.ค. เป็นต้นไป ที่ปรึกษา รมว.ศธ. วราวิช กำภู ณ อยุธยา จะไม่ลองใช้บริการหน่อยเหรอะ ขอรับ จะได้วัดกันได้ว่าใครเจ๋งกว่าใคร...

...ที่สำคัญ ณ เวลานี้ ควรจับตาดูการพัฒนาอย่างสำคัญแบบก้าวกระโดดของภาคเอกชนหลายภาคส่วนที่มีประสบการณ์ผสมความเชี่ยวชาญในการทำสื่อเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน ต่างออกมาเปิดตัวแอพพลิเคชั่นฟรี ผ่านแฟลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างรวดเร็วชนิดแทบติดตามกันไม่ทัน แทบไม่น่าเชื่อว่า วราวิช กำภู ณ อยุธยา ยังก้าวไม่พ้นกับแนวคิดเก่า ๆ กับสูตรการจัดหาอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องมือมารองรับมากกว่าใช้ปัญญาประดิษฐ์ให้เหมาะสมกับ บริบทการศึกษาของแต่ละพื้นที่...ก็ไม่รู้ว่า คอนเทนต์หรือเนื้อหาที่ใช้ในการเรียนการสอนออนไลน์ที่เอกชน หรือกลุ่มธุรกิจใหญ่จะนำไปให้เด็กนักเรียนทั่วประเทศกว่า 8 ล้านคนนั้น ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศธ. จะไม่ถามใครสักคนใน ศธ.ว่า ควรผ่านหน่วยงานไหน คณะกรรมการชุดใดเป็นผู้รับผิดชอบ หากผิดพลาดขึ้นมา จะได้ไม่ต้องมาหาแพะ ขอร้อง อย่าได้ตั้ง วราวิช กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษาฯ เป็นประธานอีกเลย สงสารท่านบ้าง งานช่วงนี้ท่านเยอะม้าก พักๆ บ้างเถอะ...

 

...มาถึงคิวปรับโครงสร้าง ศธ. วราวิช กำภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษา รมว.ศธ.ประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้าง ศธ.บอกว่าเสร็จสิ้นแล้ว จากนี้ไปหน่วยงานต่างๆ ต้องไปแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้แล้วเสร็จภายใน 5-6 เดือน ขณะที่ ยังมีอื้ออึงด้วยเสียงคัดค้าน ถึงโครงสร้างที่ไม่ตอบโจทย์การศึกษา และเป็นการขยายอาณาจักรส่วนกลางครอบงำภูมิภาคมากขึ้น

...ทั่นที่ปรึกษา รมว.ศธ. ยังคิดไกลถึงการได้หารือกับตัวแทนแต่ละสายงานของผู้ปฏิบัติงานด้านศึกษานิเทศก์ ตรวจสอบภายใน และเทคโนโลยีสารสนเทค (ICT) ถึงสิ่งที่ควรเลิกทำ อะไรที่ควรจะทำใหม่โดยไม่ต้องยุบหรือย้ายไปสังกัดไหน สรุปผลอย่างไร ตนเป็นประธานฯอยู่แล้ว จะได้พัฒนาสายงานเหล่านี้ต่อไป อ้าวไม่ต้องดูกฎหมายกันเลยรึงัย...หวานใหญ่แบบคิดเองสั่งเองถึงขนาดนี้ เสนาบดีใหญ่แห่งตึกราชวัลลภ ไม่ต้องมีก็ได้ เข้าทำนองพี่ไม่ต้องน้องจัดการทุกอย่างเอง เผ่าใดทำตาม สบายวันนี้ ไร้ผลงานวันหน้า ห้ามโวยนะ...


  

 

...ส่องเข้าไปในส่วนโครงสร้างใหม่ศธ.ของ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ในยามทั่นที่ปรึกษา รมว.ศธ.เป็นประธาน หนนี้มีให้จัดตั้งอาชีวศึกษาในระดับภูมิภาคขึ้น 6 เขต ลงภูมิภาคต่างๆ ด้วยข้ออ้างฟังแล้วดูปรารถนาดีที่ห่วงภาระงานเลขาธิการ กอศ. อาจดูแลวิทยาลัยกว่า 400 แห่งไม่ทั่วถึง แน่นอน งานนี้ไม่สะดวกหวานหมูอย่างที่คิดซะแร้วสิ...เมื่อ เครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย” ที่มี เศรษฐศิษฏ์ ณุวงค์ศรี เป็นประธานฯ ส่งหนังสือออกโรงค้านถึง ณรงค์ แผ้วพลสง เลขาธิการ กอศ.และ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศธ.จำแนกแจกแจง ไม่มีการรับฟังความคิดเห็นจากบุคลากรในสังกัด สอศ.แม้แต่น้อย

...อีกทั้งยังทำผิดเจตนารมณ์ พ.ร.บ.การอาชีวศึกษา พ.ศ.2551 ให้กระจายอำนาจสู่สถานศึกษา แต่กลับไปตั้งกองกำลังสำรอง ขยายตำแหน่งคุมสถานศึกษาอีกขั้น น่าจะได้ของเสียมากกว่าของดี...อ่ะ หมูเขาจะหาม ดันเอาคานเข้าไปสอดซะนี่

...ไม่หยุดเพียงเท่านี้ “เครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย” ยังเดินหน้ายื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบความถูกต้องตามกฎ ระเบียบราชการ และกฎหมาย ในกรณีการรับโอนและแต่งตั้ง นายสัมนาการณ์ บุญเรือง ผอ.ศูนย์.กศน.อำเภอหนองกี่ จ.บุรีรัมย์ บุตรชาย นายประเสริฐ บุญเรือง ศธ. ให้มาดำรงตำแหน่งผอ.สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) อีกด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในระบบการบริหารงานตาม หลักธรรมาภิบาล...

 

...เปิดแล้วกับตัวละครตัวสำคัญ ที่เซ็นคำสั่งรับโอนและแต่งตั้ง สัมมนาการณ์ บุญเรือง บุตรชายทั่นปลัด ศธ.เมื่อวันจันทร์ที่ 30 มีนาคม 2563 เป็น ดุริยา อมตวิวัฒน์ รองปลัด ศธ.จึงมีคำถามกันว่า วันนั้นท่านปลัด ศธ.ผู้เป็นบิดาไปปฏิบัติราชการที่ไหนหรือไม่อย่างไร ต้องไปไล่เรียงรายละเอียดกัน...งานนี้ว่ากันว่า ต้องไปหยิบยกเอา พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 15และ มาตรา 16 มาใช้ตรวจสอบด้วย

...ดีไม่ดี เก้าอี้ไม่ร้อนแค่คนเดียว แต่อาจลามไปถึง ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ในวันประชุมที่มีวาระพิจารณาเรื่องบุตรชายนายประเสริฐ เป็นประธานเอง หรือมอบหมาย ปลัด ศธ.เป็นประธาน หรือมีการมอบต่อๆ เพื่อเลี่ยงสภาพร้ายแรงตามมาตรา 13 พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 หรือไม่ 

 ...หลายคนที่ยังไม่รู้ถึงมาตรา 13 ได้บัญญัติไว้ว่า เจ้าหน้าที่ดังต่อไปนี้จะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้ อาทิ เป็นญาติของคู่กรณี คือ เป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานไม่ว่าชั้นใดๆ หรือเป็นพี่น้องหรือลูกพี่ลูกน้องนับได้เพียงภายในสามชั้น หรือเป็นญาติเกี่ยวพันทางแต่งงานนับได้เพียงสองชั้น , เป็นหรือเคยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้พิทักษ์หรือผู้แทนหรือตัวแทนของคู่กรณี , เป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ หรือเป็นนายจ้างของคู่กรณี , กรณีอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ฯลฯนี่ไงกฎเหล็ก ที่คนใหญ่คนโตขณะที่มีอำนาจวาสนาเขายังไม่กล้ากระทำ



...เมื่อพิจารณาถึงกฎเหล็กดังกล่าว ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่น่าสะพรึงกลัวกว่า และย่อมยากที่รับฟังได้ต่อการมีนักการเมืองระดับเสนาบดีออกมายกให้เป็นคนหนุ่มรุ่นเยาว์ ในทำนอง..มากด้วยอาวุโส ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์การเดินทางท่องโลก หรือมากด้วยเอกสาร หลักฐานยกมาอ้างอิงว่า ย่อมเหนือชั้น เหนือเชิง กว่าผู้อาวุโสท่านอื่นที่รับราชการในขณะนี้ โดยไม่มองถึงอาวุโส ที่ถูกบ่มเพาะด้วยอุดมการณ์ การอุทิศตนและเวลา เพื่อการศึกษาชาติบ้านเมืองไปสู่ความรุ่งเรือง ประกอบด้วยคุณธรรมคู่ความรู้ กำกับด้วยความดีมายาวนานแล้วมาลองดูกันว่า สัจธรรมที่ว่า ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร และจะมีใครสักกี่คนที่จะหลุดพ้นจากกรงเล็บแห่งสภาพร้ายแรงตาม มาตรา 13 ไปได้...

อีกเรื่องที่ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าการคัดเลือกเพื่อเลื่อนขึ้นแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (ระดับ 10) สังกัด ศธ.ที่ว่าง 3 ตำแหน่ง ตามบันทึกด่วนที่สุด ที่ ศธ 0201.4/6532 นายประเสริฐ บุญเรือง ปลัด ศธ. ลงนาม 22 เม..63 แจ้งเวียนถึงเลขาธิการองค์กรหลักรับทราบ แต่เมื่อมีคนไปขอใบสมัคร เจ้าหน้าที่ สป.ปฏิเสธแจ้งทำนองว่า ไม่มีการประกาศรับจึงไม่มีใบสมัครให้เป็นการทั่วไป จะออกให้เฉพาะบุคคลที่เห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น...อย่างงี้กลายเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ หรือการสื่อสารที่ผิดพลาดใหญ่หลวง ควรรีบทำความเข้าใจ ด่วน

...ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก เมื่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนาหูใน ศธ.ขณะนี้ถึงรายชื่อผู้ได้รับการคาดหมายว่า จะได้รับการคัดเลือกเพื่อเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นศึกษาธิการภาคใน 3 ตำแหน่งที่ว่าง แทบไม่น่าเชื่อว่า ค่าของคนอยู่ที่คนของใครนั้นเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้แม้ในช่วง การระบาดของไวรัสโควิด-19...


 

...ปิดท้ายด้วยเสียงร้องจากข้าราชการจำนวนหนึ่งในสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา หรือ สกศ.มาถึง “สำนักข่าวการศึกษษสยามเอ็ดดูนิวส์” ขอให้สะท้อนถึง ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศธ. โปรดกรุณาตรวจสอบความโปร่งใสในกระบวนการพิจารณาคัดเลือกผู้เหมาะสมดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา (ระดับ 9 ) มีการแอบอ้างชื่อ ผู้บริหารระดับสูง ที่นั่งอยู่บนตึกใหญ่ศธ.ถึง 2 คน ในทำนองให้พิจารณาลงคะแนนให้กับบางคนเป็นกรณีพิเศษ จากผู้เข้ารับการคัดเลือกทั้งสิ้นประมาณ 11 คน...ถ้ามาแบบนี้ คนดังตึกใหญ่คงต้องเร่งจัดการก่อนขยายวงลุกลามไปมากว่านี้ เนื่องจาก สุภัทร จำปาทอง เลขาธิการ สกศ.มิได้อยู่ในอำนาจหยิบเลือกได้เอง ต้องเหล่าเทวดันชี้นิ้วจิ้มเท่านั้น ฮา...

 

สวัสดีครับ “สิงห์ ราชดำเนิน”