“พลพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์” เด็ก ร.ร.นานาชาติ ตอบโจทย์ยุค 4.0 แปรรูปกระดาษใยสับปะรด

โดย : อังคารพยัคฆ์

ปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลกเป็นเรื่องใกล้ตัวของทุกคน ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่เป็นที่น่ายินดีว่าช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยหันมาเอาใจใส่ดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น

ส่วนหนึ่งคือการนำเอาวัสดุหรือวัตถุดิบที่ไม่ใช้แล้วมาแปรรูปเพื่อนำมากลับมาใช้ใหม่ ซึ่งนอกจากจะไม่ต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะเหล่านั้นแล้ว ยังได้สิ่งของมาใช้ให้เกิดประโยชน์อีกด้วย

เพิ่มมูลค่ากระดาษใยสับปะรด

พลพงษ์ ตันติพิพัฒน์พงศ์ หรือ น้องมัช นักเรียนเกรด 12 จากโรงเรียนนานาชาติ NIST กทม. เป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ธรรมชาติ จึงได้นำใบสับปะรดมาแปรรูปเป็นกระดาษจากใยสับปะรด ในโครงการ Ever leaves  โดยนำมาใส่ไอเดียเก๋ไก๋ ผลิตเป็นกระเป๋าเอนกประสงค์ กระเป๋าใส่บัตร และที่พันหูฟัง ของใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคดิจิตอลได้อย่างดี

สินค้าที่แปรรูปมาจากใยสับปะรดนี้ นอกจากจะมีความทนทานแล้ว ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญสามารถเพิ่มมูลค่าสินค้าของเกษตรกร ให้มีราคาสูงมากกว่า 20 เท่า

นางสมใจ บุญใส สมาชิกกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า เดิมทางกลุ่มนำกระดาษจากใยสับปะรดมาผลิตเป็นที่ใส่ไม้จิ้มฟัน กล่องกระดาษทิชชู่ และสินค้าอื่นๆ แต่ขายได้ในราคาไม่แพง ถ้าไม่แปรรูปแล้วกระดาษใยสับปะรดจะขายได้น้อย ไม่ได้ราคาดี

ซึ่งก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ราคาสับปะรดเองก็ถูกมาก ยิ่งปี 2561 นี้ ราคาตกต่ำสุดในรอบ 11 ปี ทำให้เกษตรกรมีรายได้น้อยลง พอมีโครงการ Ever leaves ของน้องมัช มาช่วยให้คำแนะนำ เสนอเสริมไอเดียว่าควรจะนำกระดาษจากใยสับปะรดไปทำเป็นผลิตภัณฑ์แบบไหนที่ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าให้ได้ราคาสูงมากขึ้น และได้ขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มอื่น ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

“น้องมัช” เล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของโครงการ Ever leaves ว่า มีความสนใจและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และเห็นว่าในแต่ละปีหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตของสับปะรด มีส่วนอื่นๆ ที่เหลือใช้ ซึ่งเกษตรกรนำไปขายเป็นปุ๋ยหรือเชื้อเพลิงในโรงงานปั่นไฟ ได้ราคาเพียง 50 บาทต่อใบสับปะรด 100 กิโลกรัม (ก.ก.) ถือว่าเป็นเงินจำนวนที่น้อยมาก

อีกทั้งกลุ่มเกษตรกรบางกลุ่มที่นำใบสับปะรดมาแปรรูปเป็นกระดาษ ซึ่งใบสับปะรด 30 ก.ก. จะได้ใยสับปะรด 15 ก.ก. ผลิตกระดาษจากใยสับปะรดได้ 60 แผ่น ขายได้ในราคาแผ่นละ 10 บาท นอกจากนี้ เกษตรกรยังนำกระดาษจากใยสับปะรดมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์พื้นบ้านอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก

ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

ด้วยความคิดที่ว่านี้ “หนุ่มมัช” จึงได้ริเริ่มก่อตั้งโครงการ Ever leaves ขึ้น เพื่อเป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือแนะนำพี่ๆ ป้าๆ ลุงๆ เกษตรกรไร่สับปะรด ในการปรับปรุงพัฒนาการผลิตกระดาษจากใยสับปะรดให้มีคุณภาพที่ดี มีความคงทนสวยงามมากขึ้น

และที่สำคัญคือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความทันสมัย มีรูปแบบการใช้งานที่ตอบโจทย์ Lifestyle ของคนยุคดิจิตอลมากยิ่งขึ้น เช่น ทำเป็นกระเป๋าเอนกประสงค์ ใส่มือถือ เงิน หรือเครื่องเขียน กระเป๋าใส่บัตร และที่พันหูฟัง ซึ่งถือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยขายได้มากกว่า 20 เท่าจากราคากระดาษจากใยสับปะรด

สินค้าที่ผลิตจากกระดาษใยสับปะรดของโครงการ Ever leaves ตอนนี้มีอยู่ 3 ชนิด คือ 1. กระเป๋าเอนกประสงค์ ใส่มือถือ เงิน หรือเครื่องเขียน ราคา 359 บาท 2. กระเป๋าใส่บัตร ราคา 259 บาท และ 3. ที่พันหูฟัง ราคา 159 บาท

สินค้าทั้ง 3 ชนิด ได้เสริมวัสดุด้านใน ตัดเย็บอย่างดี มีความทนทาน กันน้ำ และผลิตจากผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ผู้สนใจสามารถชมสินค้าเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ https://www.everleaves.org

“น้องมัช” แจกแจงว่า จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ คือผลิตจากวัตถุดิบธรรมธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รูปแบบทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานกับเครื่องมืออุปกรณ์ในยุคปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป็นวัยรุ่นที่นิยมสินค้าที่ตอบโจทย์การใช้งานอุปกรณ์ที่ทันสมัย และกลุ่มนักท่องเที่ยว

สินค้าทั้ง 3 ชนิด มีจุดเด่นและได้รับความสนใจจากลูกค้าทั้งหมด เนื่องจากมีการทำวิจัยด้านการตลาดถึงลักษณะการใช้งานของกลุ่มลูกค้า ซึ่งถือว่าสามารถตอบโจทย์ได้อย่างน่าพอใจ 

กับคำถามที่ว่าในท้องตลาดมีคู่แข่งหรือไม่ “น้องมัช” อธิบายว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบทันสมัยที่ทำจากกระดาษใยสับประรด ยังไม่มีคู่แข่งรายอื่นทำ แต่จะมีสินค้าที่มีอรรถประโยชน์ในการใส่อุปกรณ์ต่างๆ เหมือนกันที่ทำจากวัสดุอื่น ซึ่งมีราคาแตกต่างกันไป

ในการแปรรูปใบสับปะรดเพื่อนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ที่ว่านี้ น้องมัชบอกว่า ใช้เงินลงทุนไปประมาณ 500,000 บาท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการโปรโมทและขายสินค้า คาดว่าจะได้เงินทุนคืนใน 1-2 ปี แต่ก็มีปัญหาอุปสรรคบ้าง ในช่วงเริ่มการผลิต เนื่องจากจำนวนผลิตน้อย ทำให้ต้นทุนสูง และต้องทำการโปรโมทเพื่อให้เป็นที่รู้จัก

เตรียมขยายตลาดออนไลน์

สำหรับแผนธุรกิจในอนาคต หนุ่มน้อยรายนี้แจกแจงว่า จะพยายามเพิ่มผลิตภัณฑ์ให้มีดีไซน์หลากหลายมากขึ้น พร้อมทั้งโปรโมทผ่านช่องทางอื่น เช่นเฟซบุ๊ค และอินสตาแกรม เพื่อสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคมากขึ้น

“ผมหวังว่า จะสร้างภาพลักษณ์ที่ทันสมัยให้กับผลิตภัณฑ์จากวัสดุพื้นบ้าน และสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ไปพร้อมๆ กัน โดยปัจจุบันได้ให้ความช่วยเหลือ และร่วมงานกับกลุ่มเกษตรกรในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งถือเป็นเมืองหลวงของสับปะรด เนื่องจากมีพื้นที่ปลูกสับปะรดมากที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกมากที่สุดในประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ ผมยังคาดหวังว่า Ever leaves จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพสินค้าแปรรูปจากวัสดุธรรมชาติให้มีมูลค่าเพิ่มและมีความเป็นสากลมากขึ้น เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และสามารถต่อยอดถ่ายทอดความรู้ไปสู่การพัฒนาส่วนอื่นๆ ต่อไป” น้องมัชกล่าว

ผู้ประกอบการหน้าใหม่รายนี้ ยังให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่อยากเข้ามาทำธุรกิจดังกล่าวว่า การแปรรูปเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ควรมองหาวัสดุเหลือใช้ที่สามารถเปลี่ยนให้เป็นวัสดุที่มีความโดดเด่น

อาจจะเป็นเรื่องความสวยงามของ texture หรือคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ความคงทน  และที่สำคัญ ควรทำการทดลองผลิตว่าสามารถทำผลิตภัณฑ์ได้จริง ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน