พบคนไทยวัยแค่ 18 เริ่มป่วยโรคทางจิต นิยม!พารดน้ำมนต์ มากกว่าไป รพ.

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กรมสุขภาพจิตได้เร่งพัฒนาระบบบริการผู้ป่วยโรคทางจิตเวช ได้แก่ โรคซึมเศร้าและโรคจิตเภท ให้สามารถเข้าถึงบริการดูแลรักษาเพิ่มขึ้น ซึ่งจากเดิมการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในปี 2551 มีเพียงร้อยละ 3.34 เพิ่มเป็นร้อยละ 48.50 ในปี 2559

ส่วนผู้ป่วยโรคจิตเภทในปี 2557 เข้าถึงบริการร้อยละ 43.75 เพิ่มเป็นร้อยละ 68 ในปัจจุบัน ทำให้ผู้ป่วยจิตเวชได้รับการรักษาเพิ่มมากขึ้นและสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชุมชนได้

สำหรับผลสำรวจระบาดวิทยาระดับชาติครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ.2556 พบคนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไปป่วยเป็นโรคทางจิตเวชร้อยละ 3.2 หรือประมาณ 1.6 ล้านกว่าคน สาเหตุการป่วยเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น กรรมพันธุ์ ความผิดปกติของระบบการทำงานของสมอง การอบรมเลี้ยงดู ภาวะความกดดันต่างๆ เป็นต้น 

ผู้ชายมักจะเริ่มป่วยเมื่ออายุ 18-30 ปี ส่วนผู้หญิงจะเริ่มป่วยเมื่ออายุ 20-40 ปี ผู้ป่วยประเภทนี้จะมีลักษณะแตกต่างไปจากคนปกติทั่วไป ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ทั้งด้านความคิด พฤติกรรม และอารมณ์ ได้แก่ หลงผิด คิดว่าตนเองมีอิทธิฤทธิ์ การรับรู้ผิดปกติ เช่น มีหูแว่วได้ยินเสียงคนมาพูดด้วยโดยไม่เห็นตัว  ควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดี พูดคนเดียว แต่งตัวแปลกๆ สกปรกรุงรัง 

ดังนั้น หากประชาชนพบเห็นคนในครอบครัวหรือในชุมชนเริ่มมีอาการป่วยใหม่ๆ ควรรีบพาไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็วที่สุด ยิ่งเร็วเท่าใดยิ่งได้ผลดี ผู้ป่วยจะมีโอกาสหายขาดสูง สามารถใช้ชีวิตหรือทำงานได้ตามปกติ โดยกรมสุขภาพจิตได้มอบหมายให้สำนักบริหารระบบบริการสุขภาพจิตและโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ เร่งพัฒนาระบบบริการเพื่อเพิ่มการเข้าถึงของผู้ป่วยโรคทางจิตเวชให้ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในการดูแลผู้ป่วยโรคทางจิตเวช มักจะพบปัญหาหลัก 2 ประการ ประการแรก คือ มีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดว่า อาการป่วยของผู้ป่วยโรคทางจิตเวชเกิดจากการกระทำของภูตผีปีศาจ หรือเรื่องทางไสยศาสตร์ เป็นคนบ้า และเชื่อว่ารักษาไม่หาย จึงไม่พาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล แต่พาไปรดน้ำมนต์หรือทำพิธีเข้าทรงตามความเชื่อแทน ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมาก ถูกละทิ้ง ไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการครั้งแรก จึงทำให้อาการป่วยเรื้อรัง โอกาสหายขาดจึงน้อยลง 

“ประการที่ 2 ในกลุ่มของผู้ป่วยที่ได้รับการรักษากินยาแล้ว เมื่ออาการทางจิตใจดีขึ้นจนเป็นปกติ จะคิดว่าตนเองหายแล้วหรือกลัวว่าจะติดยา จึงมักจะหยุดกินยาหรือกินไม่ครบตามที่แพทย์สั่ง ซึ่งจะมีผลเสียอย่างมากผู้ป่วยจะ มีโอกาสเกิดอาการกำเริบซ้ำ การรักษายากขึ้นและได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงและเรื้อรังรวมทั้งสูญเสียความสามารถ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจครอบครัวและประเทศ ขณะนี้กรมสุขภาพจิตได้เร่งสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนในเรื่องที่กล่าวมาแล้ว” อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว

ทางด้านนายแพทย์บุรินทร์ สุรอรุณสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารระบบบริการสุขภาพจิต กล่าวว่า ขณะนี้กรมสุขภาพจิตได้ร่วมมือกับเขตสุขภาพทั้ง 12 เขต กรุงเทพมหานคร และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ขยายการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิตตามมาตรฐานลงสู่โรงพยาบาลชุมชน 878 แห่งทั่วประเทศ กระจายยาที่จำเป็น 35 รายการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยโรคทางจิตเวชได้ เช่น โรคจิตเภท โรคซึมเศร้า โรคสมาธิสั้น เป็นต้น 

“เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาในสถานบริการที่อยู่ใกล้บ้านยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองหาผู้ป่วยจากชุมชน เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงบริการรักษา และพัฒนาให้โรงพยาบาลจิตเวชในสังกัด 19 แห่งทั่วประเทศ เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ยุ่งยาก ซับซ้อน ที่ส่งต่อมาจากโรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ทั่วประเทศแบบไร้รอยต่อ” นายแพทย์บุรินทร์กล่าว