“3 กูรู” สะท้อน!ห้องเรียนนอกระบบ...เส้นทางสู่การพัฒนาคนยุคไทยแลนด์ 4.0

                

จากทัศนคติด้านการศึกษาแบบเดิม ที่พ่อ-แม่ ผู้ปกครองและครูส่วนใหญ่ ยังมีความเชื่อที่ว่า การเรียนที่อยู่ในห้องเรียนนั้น เป็นเรื่องสำคัญมากกว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียน เพราะอยากให้บุตรหลานได้ใบเบิกทาง สู่เส้นทางการทำงานที่มั่นคง และรายได้ที่ดี

แต่ทว่า ณ ปัจจุบันนี้ ในยุคเป็นประเทศไทย 4.0 มีผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน ได้ออกมาประสานเสียงชี้ประเด็นสำคัญในเรื่องการเรียนรู้นอกห้องเรียนนั้น ย่อมมีสำคัญกับคนในศตวรรษที่ 21 ด้วยเช่นกัน

เริ่มจาก นายชิษณุวัฒน์ มณีศรีขำ ผู้บริหารโครงการศูนย์ประสานงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นจังหวัดสมุทรสงคราม กล่าวว่า

“จากประสบการณ์การทำงานในโครงการ Active Citizen เป็นระยะเวลากว่าสองปี พบว่ากระบวนการเรียนรู้โดยพาเด็กเรียนรู้วิถีชุมชนของตนเอง หรือการทำ Community Project นั้น จะช่วยเสริมการเรียนรู้ของเด็กในห้องเรียน ไม่ว่าจะในระดับมหาวิทยาลัย มัธยมศึกษา รวมถึงประถมศึกษา

ส่งให้ผลการเรียนโดยรวมดีขึ้น เพราะว่าเด็กเหล่านี้ได้ฝึกทักษะเรื่องการฟัง พูด คิด ถาม เขียน ดังนั้น การพัฒนาคนรุ่นใหม่ จึงเป็นหัวใจสำคัญของการที่จะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการที่เราจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในอนาคต คนรุ่นใหม่ในยุคต่อไปจะต้องเท่าทันกับสถานการณ์ และสามารถที่จะนำเทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ เพื่อที่เราจะก้าวไปสู่การยกระดับประเทศไทยให้เป็นประเทศไทย 4.0

สกู๊ปข่าวการศึกษา ยกตัวอย่างเช่น เยาวชนในโครงการ Active Citizen ที่ทำเรื่องของการฟื้นฟูหรือการยกระดับการทำนาเกลือ เดิมทีเขาก็ไม่อยากที่จะทำนาเกลือ แต่พอเด็กๆ เข้ามาร่วมโครงการกับเรา เขากลับเห็นคุณค่าของอาชีพนาเกลือ รู้ที่จะดึงเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีไปใช้ในการที่จะพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์จากเกลือ ไปทำเป็นเกลือสปา ไปทำเกลือสำหรับการแปรรูปเกลือที่มีคุณภาพมากขึ้น 

ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไปชักชวนเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยและอาจารย์ มาเรียนรู้คุณค่าของนาเกลือในพื้นที่ ซึ่งอันนี้พวกเขาคงไม่ได้แค่พัฒนาได้กับตัวเอง แต่ว่าจะนำไปสู่การยกระดับของการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดนวัตกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเกลือ ซึ่งในอนาคตอาจจะพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเกลือให้ไปเชื่อมโยงสู่การรักษาอาชีพการทำนาเกลือ ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิมของคนที่นี่ได้ เป็นต้น”

ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า

“ในสังคมไทยขณะนี้มีอยู่ 2 มิติ อันแรกคือ เด็กเรียนรู้ในห้องเรียนแล้วไปเรียนรู้นอกห้องเรียน นั่นคือการไปติววิชา นี่คือความคิดของคนส่วนใหญ่ เพื่อหวังให้ลูกตัวเองเก่งกว่าคนอื่น รู้เทคนิคการสอบ แล้วสามารถเรียนต่อได้

แต่อีกกระบวนการหนึ่งที่ผมคิดว่า ตอบโจทย์ทั้ง 2 ส่วน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงและดิจิตอลอีโคโนมี (Digtial Economy) คือ กระบวนการเรียนรู้ลงสู่ชุมชน ไปพัฒนาโจทย์วิจัย ไปร่วมออกแบบพูดคุยกับครูภูมิปัญญา ปราชญ์ท้องถิ่น

สิ่งเหล่านี้จะทำให้เด็กแล้วเริ่มคิดวิเคราะห์ มองหาข้อมูลเป็น สรุป แล้วก็เพิ่มทักษะ จากเด็กที่ขี้อายไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นต่างๆ สิ่งเหล่านี้จะถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ การออกแบบลักษณะนี้ผ่านกระบวนการและกิจกรรมของเด็กที่ผ่านกิจกรรม

พวกเขาจะมีสิ่งที่แตกต่างจากเด็กที่ไปกวดวิชา ก็คือเขารู้จักคุณค่า รักท้องถิ่นตัวเอง แล้วมีความภาคภูมิใจในสิ่งที่เขาฝัน เขาจินตนาการ เขามุ่งมั่นแล้วเขาทำสำเร็จ

ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นความสำเร็จเชิงปัจเจก ไม่ได้คิดเพื่อส่วนรวม ไม่ได้คิดเพื่อท้องถิ่น ไม่ได้คิดเพื่อคนอื่น เพราะฉะนั้น คน 2 กลุ่ม ในอนาคตผมคิดว่า เราจะมีความขัดแย้งกันในระดับที่มีวิธีการคิดแตกต่าง

สกู๊ปข่าวการศึกษา ผมจึงอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตระหนักถึงการนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กับไทยแลนด์ 4.0 มาพูดคุยกันว่า ทั้งสองเรื่องนี้เราสามารถทำให้ไปในทิศทางเดียวกันได้หรือไม่ หรือมีความต่างกันอย่างไร เพราะว่าถ้าเราจะดึงเด็กไปทางดิจิตอลอีโคโนมี (Digtial Economy) เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีรากฐานของชุมชน สังคมเลย จะทำให้เราสูญเสียพลเมืองที่ดี (active citizen) กลับมีแต่พลเมืองที่คิดแต่เรื่องประโยชน์ของตนเอง 

ถ้าเราสามารถสร้างความเข้าใจหลักการที่ถูกต้อง ทำให้ทั้งสองส่วนสอดคล้องกลมกลืนอย่างชัดเจน แล้วออกแบบกระบวนการเรียนรู้ผ่านครู ผ่านโรงเรียนที่ดีๆ แล้วพาเด็กออกไปเรียนรู้ชุมชน สังคม ตั้งโจทย์ไปสร้างแรงบันดาลใจ ก็จะทำให้ประเทศไทยมีเยาวชนที่มีคุณภาพดีที่สุดในโลกแน่นอน”

นางปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร ผู้จัดการ มูลนิธิสยามกัมมาจล ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า

“ยังมีผู้ปกครองที่ยังมีค่านิยมของการที่บอกว่า เด็กเก่งต้องเรียนเก่ง เด็กเก่งต้องสอบโอเน็ตได้ดี เด็กเก่งต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ดี แต่ก็ยังมีผู้ปกครองหลายๆ คนมองว่า เมื่อบุตรหลานของเราจบจากมหาวิทยาลัย เขาจะไปทำอะไร และเมื่อจบมาลูกเราหลานเรา ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนหลักหมื่นที่มีการแข่งขันเข้าสู่ตลาดแรงงาน เข้าสู่บริษัทใหญ่ๆ พวกเขาจะมีโอกาสถึง 1% หรือไม่

เพราะฉะนั้น พ่อ แม่ ผู้ปกครองต้องคิดใหม่ว่า เด็กเองนอกจากเรียนรู้จากตำราแล้ว ต้องเรียนรู้จากชีวิต ที่มาจากโจทย์จริง ยิ่งพวกเขาได้เรียนรู้โจทย์จริงในชีวิตหรือในชุมชนเร็วเท่าไหร่ พวกเขาจะพัฒนาความเข้าใจชุมชน พัฒนาศักยภาพ วิธีทำงาน แล้วก็มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่ใช่คิดถึงตัวเอง

ถ้าเด็กและเยาวชนไทยมีคุณลักษณะแบบนี้ ทำงานเป็น รู้จักสังคม เข้าใจเพื่อน ทำงานเป็นทีมได้ นี่แหละคือคุณสมบัติที่ผู้ประกอบการทั้งหลายมองหา และรู้จักเอาความรู้ไปปรับใช้ แล้วการทำงานเป็นทีมเวิร์คได้นั้น ก็ยิ่งส่งผลให้พวกเขาเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า และเป็นที่ต้องการของสังคมต่อไป”

ท้ายสุดนี้ ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน ได้ลงความเห็นว่า ความรู้ในห้องเรียนยังมีความสำคัญอยู่ แต่การเรียนรู้นอกห้องเรียนก็สำคัญ ในการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน ด้านการเรียนรู้ คิดวิเคราะห์ พัฒนาทักษะ จากการที่พวกเขาได้ค้นหาคำตอบด้วยตนเอง

เพราะสิ่งเหล่านี้ จะส่งผลให้เด็กๆ และเยาวชนได้เรียนรู้ และเกิดความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง นี่อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณครูยุคใหม่ พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง เปลี่ยนความเชื่อเดิมๆ จากการหาความรู้ที่อยู่มีในตำราเรียน ไปสู่การเรียนรู้ในรูปแบบการเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตของคนในยุคศตวรรษที่ 21

ติดตามรายละเอียดของโครงการ Active Citizen และโครงการอื่นๆ ของเยาวชนได้ที่ https://www.scbfoundation.com หรือแฟนเพจเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/SCBFOUNDATION/                 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณปองหทัย สวาคฆพรรณ เจ้าหน้าที่สื่อสารสังคม มูลนิธิสยามกัมมาจล โทร.087-749-8886 E-mail : ponghathai@scbf.or.th 

โดย : มูลนิธิสยามกัมมาจล