สุขทั้งแผ่นดิน/เสกสรร สิทธาคม
“... ผู้ที่เป็นครูอาจารย์นั้น ใช่ว่าจะมีแต่ความรู้ในทางวิชาการและในทางการสอนเท่านั้นก็หาไม่ จะต้องรู้จักอบรมเด็กทั้งในด้านศีลธรรม จรรยาและวัฒนธรรม รวมทั้งให้มีความสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ด้วย…. ”
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร วิทยาลัยวิชาการศึกษา ๑๕ ธันวาคม ๒๕๐๓
วันนี้คนที่รู้ว่ามหาวิทยาลัยราชภัฎรากฐานเดิมมาจากวิทยาลัยครู(วค.) จะมีสักกี่มากน้อยนี่คือประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึก และสำคัญเหนืออื่นใดชื่อ “ราชภัฏ”เป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตก็เกิดมาจากวิทยาลัยครูภูเก็ตก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2514 เป็นสถานศึกษาหรือสถาบันการศึกษาผลิตครูและบุคลากรทางการศึกษาสู่วงการศึกษาของชาติของประเทศ เป็นครูผู้อบรมบ่มนิสัยเยาวชนลูกหลานไทยตั้งแต่ยังเล็กดูแลปลูกฝังความเป็นคนดี ความรู้ความสามารถเพื่อเป็นกำลังสร้างฐานะครอบครัวให้เจริญงอกงามบนรากฐานความดีความสุจริตยุติธรรม เป็นกำลังร่วมพัฒนาชาติบ้านเมืองสังคมไทยให้เข้มแข็งบนรากฐานแห่งความดีงามเพื่อสุขสงบเกิดขึ้นในภาพรวม
วางรากฐานการสร้างคนเป็นครูผู้ที่ต้องมีจิตวิญญาณในการที่มีจิตใจสละสุขส่วนตนอุทิศการถ่ายถอดความดีงามความรู้ความชำนาญในศาสตร์ต่างๆเพื่อที่จะได้คนเป็นครูที่จะไปถ่ายทอดความดีงามและการประกอบอาชีพสร้างความเจริญให้ครอบครัว ชุมชนและชาติบ้านเมือง แก่คนรุ่นต่อรุ่นโดยยึดหลักความเป็นคนมีคุณธรรมจริยธรรมตามรอยพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดินที่พระราชทานการแบบอย่างในการถ่ายทอดความรู้แก่ประชาชนผ่านต้นแบบคือโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆที่พระราชทานไว้ทั่วประเทศเกิน 4 กว่าโครงการ และพระราชทานแนวทางดำเนินชีวิตแก่ราษฎร อย่างเช่นหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นต้น
จนถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานนามวิทยาครูใหม่ว่า สถาบันราชภัฏ นั่นจึงเป็นเป็นที่มาว่าวิทยาลัยครูภูเก็ตมาเป็นสถาบันราชภัฏภูเก็ตและเปลี่ยนสภาพเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต(มรภ.)จนถึงปัจจุบัน ที่นับอายุต่อเนื่องแล้ว 45 ปีในวันที่ 14 ก.พ.2559
วิทยาลัยครูหรือสถาบันราชภัฏภูเก็ต จุดเริ่มของสถานศึกษาที่กล่อมเกลาเยาวชนในหลายจังหวัดในหลายท้องถิ่นที่ต่อเชื่อมจังหวัดภูเก็ตและหรือในภูมิภาคที่ห่างไกลออกไปอีกหลายๆจังหวัดของไทย ให้เป็นคนดีมีคุณธรรมจริยธรรม มีความเข้มแข็งในความรู้ความสามารถทางวิชาการด้านการประกอบอาชีพกล่าวได้ว่าเป็นสถานศึกษาที่เป็นที่พึ่งพิงของเยาวชนในครอบครัวที่ตั้งอยู่ในท้องถิ่นภูมิภาคที่จะมีโอกาสเข้าไปศึกษาหาวิชาความรู้ หลอมตัวเป็นคนดี หรือพูดได้เต็มปากว่าเป็นตักศิลาของลูกหลานคนในท้องถิ่นน่าจะไม่ผิด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยพระวิสัยทรรศน์ด้วยพระอัจฉริยภาพแห่งความเป็นครูของแผ่นดิน จึงพระราชทานชื่อให้วิทยาลัยครูเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏ เพื่อให้ชาวราชภัฏมีความภาคภูมิใจพร้อมที่จะทุ่มเทหัวใจเป็นที่พึ่งของลูกหลานในครอบครัวท้องถิ่น ในชุมชนห่างไกล ส่งเสริมการศึกษาที่มุ่งเน้นการอบรมบ่มนิสัยให้เยาวชนเติบโตขึ้นเป็นคนหนักแน่นด้วยคุณธรรมจริยธรรม หนักแน่นด้วยทักษะฝีมือด้านอาชีพผ่านรากฐานการซึมซับวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามภูมิปัญญาของท้องถิ่น เดินเคียงคู่ไปกับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่จะเป็นเครื่องมือนำพัฒนาท้องถิ่นไทย หนักแน่นด้วยความรู้วิชาการและความสามารถทางทักษะฝีมือในการทำกิจกรรมต่างๆ ทำการงานเพื่อเยาวชนถวายต่างพระเนตรพระกรรณ
วันที่ 14 กพ.59 ที่ผ่านมาเป็นวันครบรอบ 45 ปีมหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ตจัดงาน “จากวค.-มรภ.ภูเก็ต” มีศิษย์เก่าศิษย์ปัจจุบันรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องมารวมกันที่กล่าวได้ว่าเป็นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่ง นอกจากกิจกรรมทางวิชาการภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์การศึกษา พัฒนาวัฒนธรรม ใช้นวัตกรรมนำสังคม” กิจกรรมที่บ่งบอกถึงการอนุรักษ์สืบสานวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามของความเป็นท้องถิ่นก็คือ นิทรรศการที่มุ่งเน้นสื่อสารให้ผู้เข้าไปร่วมไม่ว่าจะเป็นเยาวชนหรือคนทั่วไป ครูอาจารย์ได้ตระหนักคือ “นิทรรศการหลักการดำเนินชีวิตตามแนวปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
นิทรรศการดังกล่าวเป็นกิจกรรมหรือเป็นส่วนหนึ่งในภาควิชาที่มีการจัดการเรียนการสอนปรกติและลงมือปฏิบัติเป็นปรกติ ทั้งในสายอาชีพเกี่ยวกับเกษตรกรรม ไปจนถึงในภาควิชาศิลปหัตถกรรมส่วนหนึ่งในโครงการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเช่นการทำลายผ้าปาเต๊ะ(บาติก) ไปจนกระทั่งทักษะวิชาการแปรรูปอาหารล้วนเป็นจุดเน้นที่มรภ.ภูเก็ตถ่ายเทไปสู่เยาวชนนักศึกษา ประชาชน โดยมีครูภูมิปัญญาเข้ามามีส่วนร่วม ในเวลาเดียวกันนักศึกษาได้นำเอาวิชาการย้อนกลับไปถ่ายทอดสู่ชุมชนด้วยเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึมซับวิถีดำเนินชีวิตกันและกัน
หลักดังกล่าวอธิการบดีผศ.ดร.ประภา กาหยีบอกว่าเป็นการเดินตามรอยพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยสำนึกว่าพระองค์คือพระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแก่มหาวิทยาลัยและแก่ปวงชนชาวไทย
“จากวิทยาลัยครูมาจนถึงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏเมื่อวันที่ 14 กพ. 2535 มหาวิทยาลัยได้ดำเนินงานจัดการศึกษามุ่งพัฒนานักศึกษาให้มีคุณภาพ มาตรฐาน และที่สำคัญมุ่งเน้นให้นักศึกษามีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตอาสา” ผศ.ดร.ประภา กาหยี กล่าวตอนหนึ่งในการรายงาน
ขณะที่ดร.ประเจียด อักษรธรรมกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในนามผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานได้กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า การจัดงานครบรอบ 45 ปีมรภ.ภูเก็ตครั้งนี้ภายใต้แนวคิดสร้างสรรค์การศึกษา พัฒนาวัฒนธรรม ใช้นวัตกรรมนำสังคม สะท้อนถึงภารกิจสำคัญที่มหาวิทยาลัยได้ดำเนินงานมายาวนานด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท เพื่อให้การศึกษาดำเนินไปได้อย่างสร้างสรรค์ เหมาะสมและสอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากยังมุ่งเน้นการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมเพื่อสื่อความเป็นตัวตน ความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นตลอดถึงความเป็นไทยที่น่าภาคภูมิใจ รวมถึงการให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่จะช่วยพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้า ก้าวไกลได้อย่างเหมาะสม โดยการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริมาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน
ภายในงานครบ 45 ปีมีนิทรรศการทั้งที่เป็นวิชการและด้านการส่งเสริมอาชีพที่สืบวิถีชีวิตวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามที่มหาวิทยาลัยส่งเสริมสนับสนุนให้เป็นทั้งอาชีพเสริมหรืออาชีพก็ได้และสืบสานวิถีชีวิตอย่างเช่นการอนุรักษ์สืบสานลายผ้าปาเต๊ะ โดยเชิญภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสอนนักศึกษา และนักศึกษาย้อนกลับไปสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนในชุมชน ที่ร่วมกับหลายชุมชนเช่นกลุ่มเกาะสืเหร่รวมใจพัฒนา กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพ้นท์ผ้าถุงลูกปัดบางโรง และหรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรบางหวานพัฒนา
ด้วยเห็นความสำคัญที่เป็นวิถีอันดีงามของท้องถิ่นมหาวิทยาลัยให้ทุนวิจัยเพื่อนำไปส่งเสริมชุมชน ส่งเสริมชาวบ้านที่สนใจ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักศึกษากับชุมชน โดยมีภูมิปัญญาเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้
อีกด้านหนึ่งเป็นพื้นที่นอกอาคาร โครงการนิทรรศการเศรษฐกิจพอเพียงฯ โดยมีผู้รับผิดชอบคือผอ.กองพัฒนานักศึกษานายอรุณ แป้นคง เป็นการนำเอาผลผลิตจริงที่มรภ.ภูเก็ตให้นักศึกษาตั้งแต่ปีหนึ่งเข้ามามีส่วนร่วมในการลงมือทำและร่วมดูแลรับผิดชอบ ในพื้นที่สำหรับทำตัวอย่างด้านเกษตรกรรม
“เราเน้นให้นศ.ในกลุ่มกู้ยืมเรียนมาเข้าร่วมกิจกรรมคือปลูกไม้ผลแล้วดูแลรับผิดชอบของใครของมัน คือคอยรดน้ำ พรวนดิน ดูแลไปจนจบปี 4 แล้วรุ่นต่อไปก็มาปลูกและดูแลต่อ นี่เป็นกิจกรรมหนึ่ง แล้วมีแปลงปลูกผักให้รวมกลุ่มกันทำ ทางมรภ.ยังได้ให้ประชาชนที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วม ประชาชนเกษตรกรมีความชำนาญภาคปฏิบัติแต่ขาดหลักวิชาก็มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน นักศึกษาก็ได้ประโยชน์ ชาวบ้านก็ได้ประโยชน์”
ผอ.อรุณบอกว่าที่เน้นในการอบรมบ่มนิสัยนศ.คือเน้นย้ำให้ตระหนักว่ารู้จักประหยัด ใช้วัตถุสิ่งของที่มีอยู่ในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด อย่าเห่อเหิม ต้องขยัน อดทน แล้วอย่าโลภ ก็จะมีกินมีเก็บ
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชหฤทัยมุ่งมั่นที่จะทรงแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของราษฎรให้หลุดพ้นจากความอดอยากขาดแคลนในการดำเนินชีวิตผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่พระราชทานไว้ทั่วประเทศ เพื่อให้เข้าไปศึกษาเรียนรู้แล้วนำไปประยุกต์ในการดำเนินชีวิตเพื่อให้เกิดความพออยู่พอกินมีความสุขได้อย่างยั่งยืน นั่นคือการเดินตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่พระราชทานไว้ เพื่อให้แนวพระราชดำริและหลักการทรงงานสามารถถ่ายทอดสู่นักศึกษาที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้มีส่วนสืบสาน เพื่อประโยชน์ของตัวเองและขยายผลสู่คนรอบข้างสู่ชุมชน องค์การบริหารนักศึกษาและกองพัฒนานักศึกษามรภ.ภูเก็ตจึงได้เน้นย้ำน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมในงานครบรอบ 45 ปีมรภ.ภูเก็ต เพื่อขยายผลต่อยอดการเรียนรู้หลักการทรงงาน เรียนรู้หลักการขยัน อดทน ไม่โลภ มีความรักสามัคคีมีเมตตาต่อกันสู้เยาวชนและประชาชนทั่วไปที่มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมในพื้นที่จำลองหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงฯนี้”ผอ.อรุณ แป้นคงกล่าว
|
|