พระผู้ทรงเป็นครูฯ “การศึกษาตามอัธยาศัย”
การเสด็จพระราชดำเนินไปยังท้องถิ่นต่างๆทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบถึงความเดือดร้อนของพสกนิกรหลายด้าน
ด้านหนึ่งที่พระองค์ทรงตระหนักเป็นพิเศษคือ การพระราชทานความรู้และการศึกษาตามอัธยาศัยแก่ประชาชนผ่านศูนย์การศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น เพื่อให้เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตในภูมิภาคต่างๆ สำหรับให้ประชาชนเข้าไปศึกษาความรู้ตามอัธยาศัย สามารถนำความรู้ตางๆไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
ทั้งนี้ได้พระราชทานหลักการดำเนินชีวิตเพื่อการนำสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างมีประสิทธิผล ที่เป้าหมายอันมุ่งหวังและได้ประสบความสำเร็จตามนั้นคือความสุขอย่างยั่งยืนในครอบครัว ในชุมชนด้วยเพราะการหลุดพ้นจากความอดอยากขาดแคลนที่เกาะกุมครอบครัวชุมชนมาเนินนานได้แก่หลักการดำเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อันมีฐานของคุณธรรมนำขับเคลื่อนการประกอบอาชีพคือความขยัน อดทน อดออม ไม่โลภ มีความรักสามัคคีกัน มีความเมตตากรุณาต่อกันมั่นอยู่ในความกตัญญูรู้คุณ
การศึกษาตามอัธยาศัยผ่านศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่พระราชทานไว้มี 6 แห่งทั่วประเทศคือศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทราจัดตั้งตามพระราชดำริเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2522
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลกลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาสจัดตั้งตามพระราชดำริเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม- 3 ตุลาคม 2524
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลสนามไชย อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านนานกเค้า ตำบลห้วยยาง อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ป่าขุนแม่กวง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทรายอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลสามพระยา อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
พระราชทานทุนการศึกาและโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
ในการส่งเสริมการศึกษาของชาติให้มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศด้วยการพัฒนาศักยภาพมนุษย์นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญในเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ
ทรงริเริ่มโครงการที่ส่งเสริมการศึกษาและการจัดตั้งทุนการศึกษา โดยทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งกองทุนต่างๆเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาของชาติอย่างหลากหลาย อาทิ ทุนมูลนิธิ “ภูมิพล”
มูลนิธิอานันทมหิดล , มูลนิธิช่วยครูอาวุโส , ทุนเล่าเรียนหลวง , ทุนพระราชทานแก่นักเรียนชาวเขา ,ทุนปริญญาเอกกาญจนาภิเษก เนื่องในโอกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี
ฯลฯ
พระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิใช่เพียงพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ที่ทรงดำรงในทศพิธราชธรรมเป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์แก่พสกนิกรเท่านั้น หากแต่พระราชกรณียกิจทุกอย่างของพระองค์คือ พระราชภารกิจต้นแบบที่ดีงามของความเป็นครูทั้งสิ้น
เพราะถึงแม้พระองค์จะมิได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงสอนหนังสือเหมือนครูในระบบอื่นๆ แต่พระองค์ทรงทำหน้าที่ของครูมาในทุกช่วงของพระชนมายุ ทรงเป็นครูของพสกนิกรทุกหมู่เหล่าที่ทรงให้การอบรมบ่มเพาะทั้งเรื่องชีวิต การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกมิติของชีวิต
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวพระราชดำริในเรื่องหน้าที่ของครูไว้อย่างชัดเจนว่า
“หน้าที่ของครูคือ การสร้างเสริมรากฐานอันแข็งแรง สมบูรณ์ ให้แก่เยาวชน ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และความรู้ความฉลาด และที่สำคัญที่สุดจะต้องฝึกอบรมให้รู้จักความรับผิดชอบชั่วดี รู้จักตัดสินใจด้วยเหตุผล และรู้จักสร้างสรรค์ตามแนวหน้าที่สุจริตยุติธรรม”
พระราชดำรัสพระราชทานเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2525
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญกับจุดมุ่งหมายของการสอนว่า การสอนคือการอบรมสั่งสอนให้คนได้เรียนดี เพื่อที่สามารถทำงานสร้างตัวและดำรงตนให้เป็นหลักเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมได้
ทรงเป็นครูของแผ่นดินที่มิได้หมายเฉพาะผู้เป็นพสกนิกรในแผ่นดินไทยเท่านั้น หากแต่ยังหมายรวมครอบคลุมได้ถึงมนุษยชาติในแผ่นดินของโลกที่ได้น้อมนำหลักคิด หลักวิชา หลักปฏิบัติของพระองค์ไปปรับประยุกต์ใช้ในวิถีชีวิตจนประสบความสำเร็จ
พระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิใช่เพียงแค่พระราชกรณียกิจความเป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น การที่พระองค์ทรงมีพระเกียรติยศขจรขจายเป็นที่เทิดทูนในนานาอารยประเทศ เป็นเพราะพระราชกรณียกิจของพระองค์ที่ทรงปฏิบัติมิใช่เป็นเพียงหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ดังที่กล่าวแล้ว หากแต่ยังทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจความเป็นครูของมนุษยชาติด้วยการทรงงานที่เป็นนวัตกรรมสำหรับมนุษยชาติในฐานะพระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดินที่ไม่มีพรมแดนใดๆเข้ามาเป็นอุปสรรคขวางกั้นสิ่งที่เป็นวิทยาทานให้แก่มนุษยชาติได้นำไปพัฒนาศักยภาพของตนเอง
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียวของโลกที่องค์การสหประชาชาติทูลเกล้าฯถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์(UNDP Human Development Live Time Achievement Award) โดยนาย โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติและนางแนน อันนัน ภริยา ได้เดินทางเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาล ในระหว่างวันที่ 25-27 พฤษภาคม 2549 เพื่อทูลเกล้าฯถวายรางวัลความสำเร็จสูสุดด้านการพัฒนามนุษย์ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเฉลิมพระเกียรติในพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรไทยมาโดยตลอดรัชสมัย
รางวัลที่ทูลเกล้าฯถวายครั้งนี้เป็นรางวัลเกียรติยศที่ริเริ่มขึ้นใหม่โดยสหประชาชาติเพื่อเทิดพระเกียรติเป็นกรณีพิเศษในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ได้รับการถวายรางวัลเกียรติคุณนี้เป็นพระองค์แรกของโลก
นายโคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติได้กล่าวสุนทรพจน์สดุดีพระเกียรติคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า นับเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่สำหรับองค์การสหประชาชาติที่ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์” แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สำหรับสหประชาชาติพิธีมอบรางวัลนี้มีความหมายสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการจัดทำรางวัลเกียรติยศเพื่อมอบแก่บุคคลดีเด่นที่ได้อุทิศตนตลอดช่วงชีวิตและสร้างผลงานอันดีเป็นที่ประจักษ์ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่จะยิ่งใหญ่ไปกว่าการพัฒนาคนภายใต้แนวทางของพระองค์
นวัตกรรมที่ทรงศึกษาค้นคว้า ทดลอง พัฒนาจนกลายเป็นคุณูปการแก่มนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นกังหันชัยพัฒนา ฝนหลวง โครงการแก้มลิง เกษตรทฤษฎีใหม่ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงฯลฯ นับเป็นผลงานของพระมหากษัตริย์ที่ทรงเป็นครูของศิษย์ ครูของครูและของมนุษยชาติต่อเนื่องตลอดจนถึงปัจจุบัน
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันไพศาลต่อการพัฒนาการศึกษาของชาติและของมนุษยชาติ ในการประชุมชชของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 21 ธันวาคม 2553 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการถวายพระราชสมัญญา “พระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน”เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2554 และเพื่อความเป็นสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่พสกนิกรชาวไทยสืบไปตลอดกาลนาน
|
|