คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา จัดงานครุวิชาการ ภายใต้ชื่อ "พระผู้ทรงเป็นแม่และครุแห่งแผ่นดิน" เป็นปีที่ 4 ณ ห้องประชุมอาคาร ๑๐๐ ปี เมื่อเร็วๆ นี้ โดยในงานมีการจัดเวทีเสวนาทางวิชาการในหัวข้อ "ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ สู่การปฏิบัติ" ในมุมมองของนักวิชาการ ผู้บริหาร ผู้ปกครอง และนักเรียน โดยได้รับความสนใจจากผู้เข้าฟังจำนวนมาก
เวทีนี้มีผู้เข้าร่วมเสวนา อาทิ ด.ญ. ฐิตินาถ อ่อนเกตุพล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์, นายอำนวย พุทธมี ผู้อำนวยการโรงเรียนพญาไท โรงเรียนนำร่อง “การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สพฐ.
ดร.จารุวรรณ พลอยดวงรัตน์ อาจารย์สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และนางวันทนีย์ เลี้ยงพันธ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ในฐานะตัวแทนผู้ปกครองนักเรียน
โดยมี ดร.นิภาพร กุลสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษา บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินรายการ
เสียงจากผู้เข้าร่วมเสวนาทุกฝ่ายต่างขานรับหลักการนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และคาดหวังว่า จะช่วยเสริมสร้างทักษะชีวิตและส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กสนุกและมีความสุขกับการเรียน ผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ ที่สนองและสอดรับกับความต้องการของผู้เรียน ความถนัดของครู และความพร้อมเรื่องของทรัพยากรของโรงเรียนและพื้นที่
เริ่มจาก ด.ญ.ฐิตินาถ อ่อนเกตุพล นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ ในฐานะตัวแทนนักเรียนได้แนะนำกิจกรรมที่จะสร้างความสนุกและความสุขแก่นักเรียน
"กิจกรรมที่อยากทำในช่วงบ่าย เช่น กิจกรรมวาดรูป ร้องรำ เน้นเรื่องความสนุกสนานรื่นเริง หรือกิจกรรมเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ส่วนเพื่อนๆ สนใจชมรมภาษาอังกฤษ ชมรมกีฬา เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพทางร่างกายให้แข็งแรงและมีน้ำใจนักกีฬา และอื่นๆ"
ผู้อำนวยการโรงเรียนพญาไท นายอำนวย พุทธมี ได้แสดงความคิดเห็นต่อการจัดกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ สู่การปฏิบัติจริงว่า มีความแตกต่างกันไปตามบริบทความต้องการของเด็ก ครู และเป้าหมายของแต่ละโรงเรียน
"...บริบทของความพร้อมแต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น ในเรื่องของกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ จะต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมและบริบทของแต่ละโรงเรียน การนำสู่การปฏิบัติจึงต้องเปิดช่องให้โรงเรียนได้คิดหรือสร้างสรรค์กิจกรรมตามความพร้อมของโรงเรียนด้วย
สำหรับที่โรงเรียนพญาไท เราให้ความรู้ครูทั้งโรงเรียนในช่วงปิดเทอม โดยเชิญศึกษานิเทศก์ Smart Trainer จากทาง สพฐ. มาให้ความรู้ ความเข้าใจ นัดประชุมผู้ปกครองเพื่อชี้แจงให้ทราบความเคลื่อนไหว ซึ่งฝ่ายบริหารจะช่วยในเรื่องการเตรียมข้อมูล เอกสาร และสื่อวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตลอดจนสนับสนุนในเรื่องงบประมาณเพื่อเสริมสร้างกิจกรรมต่างๆ ให้ดำเนินได้อย่างสะดวก..."
ขณะที่ ดร.จารุวรรณ พลอยดวงรัตน์ อาจารย์สาขาวิชาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มศว ชี้แนวทางการจัดกิจกรรมว่า จิตวิญญาณความเป็นครูเป็นสิ่งสำคัญ คือ ครูรักเด็ก เด็กสัมผัสได้ นำไปสู่พัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ปฏิรูปการสอนครูของครู โดยบูรณาการการสอนให้สอดรับกับนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” และมาตรฐานการเรียนรู้ ตลอดจนประสานความร่วมมือกับเพื่อนร่วมวิชาชีพครูทุกฝ่าย
"ครูจะต้องลดความเป็นตัวตนลง และประสานความร่วมมือกับครูในสาขาวิชาอื่นเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เชิงบูรณาการกับเด็กและครู กิจกรรมดังกล่าวทำให้เกิดความสุขในการเรียนรู้ร่วมกัน...การเติมเต็ม 5F Fun, Find, Focus, Fantastic การเรียนรู้ทักษะชีวิต และทักษะในศตวรรษที่ 21
นอกจากนี้ สพฐ.จะต้องคิดระบบการประเมินผลและปลดล็อคระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่อไป..."
ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของตัวแทนผู้ปกครอง นางวันทนีย์ เลี้ยงพันธ์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ที่แสดงความเป็นห่วงรอยต่อระหว่างช่วงชั้นเรียน
เป็นมุมมองของผู้ปกครองที่ติดตามการจัดกิจกรรมตามนโยบาย “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของทางโรงเรียน โดยมองว่ากิจกรรมต่างๆ ไม่มีความเชื่อมโยงกับระบบการวัดประเมินผลของช่วงรอยต่อในระดับชั้นเรียนที่สูงขึ้น
"...ดิฉันเห็นด้วยกับนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ แต่ลึกๆ ช่วงรอยต่อระหว่างชั้นประถมศึกษาขึ้นชั้น ม.1 หรือช่วงชั้น ม.6 สอบเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัย ยังไม่แน่ใจว่าระบบการศึกษาทั้งหมดจะรองรับการสอบแข่งขันดังกล่าวได้หรือไม่ เนื่องจากการสอบแข่งขันค่อนข้างสูง
แต่ด้วยระบบของการศึกษาไทย จริงๆ แล้ว การลดระยะเวลาเรียนแม้จะช่วยส่วนหนึ่ง แต่จะตอบโจทย์สังคมไทยและจะสามารถหล่อหลอมทั้งระบบให้ไปในทิศทางเดียวกันได้อย่างไร"
เป็นคำถามและข้อห่วงใยที่คนระดับผู้บริหารในกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น ถึงจะตอบได้...??
|
|