สุทั้งแผ่นดิน/เสกสรร สิทธาคม
พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวทรงรักประชาชนและทรงผูกพันกับประชาชนอย่างลึกซึ้ง และประชาชนก็เทิดทูนเคารพและผูกพันอย่างสูงในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลายท่านอาจจะเคยอ่านข้อความที่ปรากฏในบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์” บทพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ถูกตีพิมพ์มานานมากแล้วในวารสาร “วงวรรณคดี” ฉบับเดือนสิงหาคม พศ. 2490 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 โดยขณะที่เสด็จขึ้นครองราชย์นั้นทรงเจริญพระชนมพรรษา 18 พรรษา และหลังจากนั้นอีก 2 เดือนกว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489 ก็ได้เสด็จฯออกจากกรุงเทพมหานครเพื่อทรงกลับไปศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ความตอนหนึ่งของบทพระราชนิพนธ์ทรงเขียนไว้ว่า “...ตามทางที่ผ่านมา ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า “อย่าละทิ้งประชาชน” อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ “ทิ้ง”ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว...”ห
และภายหลังจากได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วไม่นานพระองค์ทรงเคยมีพระราชหัตถเลขาถึงพระสหายเมื่อครั้งทรงศึกษาอยู่ในยุโรปความตอนหนึ่งว่า
“...เมื่อข้าพเจ้าเป็นนักเรียนอยู่ในยุโรป ข้าพเจ้าไม่เคยตระหนักว่าประเทศของข้าพเจ้าคืออะไร และเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าแค่ไหน ไม่ทราบตราบจนกระทั่งข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะรักประชาชนของข้าพเจ้าเมื่อได้ติดต่อกับเขาเหล่านั้น ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าสำนึกในความรักอันมีค่ายิ่ง ข้าพเจ้าไม่เป็นโรคคิดถึงบ้านที่จริงจังอะไรนัก แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้โดยการทำงานที่นี่ว่า ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้คือการที่ได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือคนไทยทั้งปวง...”
เหตุการณ์ที่ผ่านมากว่า 66 ปีได้ยืนยันแล้วว่าพระองค์ไม่เคยทรงทอดทิ้งประชาชนเลย และประชาชนก็ไม่เคยทิ้งพระองค์เช่นกัน
ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จฯไป ณ ที่แห่งหนใดบนแผ่นดินไทยแห่งนี้จะมีประชาชนมาเฝ้าฯรับเสด็จด้วยความจงรักภักดี ด้วยความปีติโสมนัสที่จะกล่าวถวายพระพรพระองค์ว่า ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ เพราะประชาชนคนไทยซาบซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณด้วยตระหนักดีว่าบิดามารดาทุ่มเทเสียสละให้กับบุตรธิดาโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนอย่างไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงทุ่มเทสียสละให้กับประชาชนที่อยู่อาศัยบนผืนแผ่นดินไทยแห่งนี้ โดยไม่ทรงหวังสิ่งใดตอบแทนเช่นเดียวกัน โดยไม่ทรงเลือกว่าเขาเหล่านั้นจะเป็นใคร ทุกคนล้วนเป็นพสกนิกรของพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสว่า “ฉันทำทั้งหมดฉันให้ทั้งหมดนั้น ฉันใช้ระบบสังฆทานให้โดยไม่เลือกหน้า”
พระองค์ทรงใช้ประสบการณ์ ทรงใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแผ่นดินไทยที่พระองค์ทรงประสบถอดออกมาเป็นองค์ความรู้
พระองค์ทรงนำองค์ความรู้นั้นมาปฏิบัติให้ดูห ซึ่งปรากฏเป็นโครงการต่างๆ ทั้งโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการตามพระราชประสงค์ โครงการหลวงฯลฯ รวมทั้งงานของมูลนิธิชัยพัฒนาซึ่งผมได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ผมเป็นกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิฯ
สิ่งที่แฝงหรือแนบมากับโครงการต่างๆที่พระราชทานคือบทเรียนให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้เรียนรู้การทำโครงการต่างๆนั้นมีพระราชกระแสรับสั่งว่า ต้องสวย ดี และเร็ว กล่าวคือโครงการต้องสวยงาม มีประโยชน์กับประชาชนและประเทศ ทำให้ผ่านไปยังไม่พอ ต้องการให้ยั่งยืนตลอดไปด้วย
และความเป็นครูของพระองค์คือทรงทำให้ดู และรับสั่งตลอดเวลาว่า “ทำให้เขาดู”ทรงเป็นครูที่พยายามทำให้ดู พยายามชักจูง พยายามชักจูง พยายามสอน เช่นผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณทรงสอนผม โดยในพศ. 2524 รัฐบาลได้เลือกผมให้เข้าไปถวายงาน 90%ของการถวายงานเป็นเรื่องการเกษตร ซึ่งผมไม่เคยเรียนมาก่อน เมื่อพระองค์ทรงทราบพระองค์สอนผม สอนจนกระทั่งผมมีความรู้ทางด้านนี้ ความรู้ที่ผมได้รับจากพระองค์มากกว่าที่ผมเรียนมาทั้งชีวิต พระองค์ทรงเป็นครูของผมและทรงเป็นครูของแผ่นดินด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญานามจากกระทรวงศึกษาธิการเมื่อพศ.2554 ว่า “พระผู้ทรงเป็นครูแห่งแผ่นดิน”
พระราชกรณียกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษานั้นครอบคลุมทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ซึ่งเป็นคุณประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยและการพัฒนาการศึกษาไทยเป็นอย่างยิ่ง
พระราชกรณียกิจในส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาในระบบโรงเรียนนั้นเริ่มจาก พ.ศ.2498 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งโรงเรียนจิตรลดาขึ้นสำหรับพระราชโอรส พระราชธิดา บุตรข้าราชบริพารในพระราชวัง ตลอดจนเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปได้ร่วมเรียนด้วย
ต่อมาเมื่อพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรบริเวณชายแดนทุรกันดาร ทำให้ทรงทราบถึงปัญหาการขาดแคลนที่เรียนของเด็กและเยาวชน จึงมีพระราชดำริให้จัดสร้างโรงเรียนให้แก่เด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา ปัจจุบันมีโรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริและอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ช่วยเหลือ ทรงอุปถัมภ์หรือทรงให้คำแนะนำมีจำนวนมากกว่า 100 โรงเรียนขึ้นไป
สำหรับพระราชกรณียกิจในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษานอกระบบโรงเรียน ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการพระดาบสขึ้น ด้วยทรงห่วงใยต่อพสกนิกรที่ต้องการแสวงหาความรู้ โดยโครงการพระดาบสได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่พ.ศ.2518 เปิดทำการสอนวิชาชีพได้ตามแนวพระราชดำริ
พระราชกรณียกิจในส่วนที่เกี่ยวกับการศึกษาตามอัธยาศัย เป็นการพระราชทานความรู้และการศึกษาตามอัธยาศัยแก่ประชาชนผ่านศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ทรงตั้งขึ้นทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย เพื่อเป็นแหล่งรวมสรรพวิชา วิชาการการค้นคว้าทดลองและการสาธิตด้านเกษตรกรรมเพื่อเผยแพร่ความรู้สำหรับการนำไปไปสู่การปฏิบัติจริงของเกษตรกร
ในการส่งเสริมการศึกษาของชาติให้มีความเจริญก้าวหน้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มโครงการที่ส่งเสริมการศึกษาและการจัดตั้งทุนการศึกษาห โดยทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดตั้งกองทุนต่างๆเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาของชาติเช่น ทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ทุนภูมิพล ทุนเล่าเรียนหลวง ทุนพระราชทานแก่นักเรียนชาวเขา กองทุนนวฤกษ์ในมูลนิธิช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนในพระบรมราชูปถัมภ์ ทุนปริญญาเอกกาญจนาภิเษก โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯลฯ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองแผ่นดินด้วยความรักความเมตตาต่อประชาชน
พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก ที่พระองค์ต้องทรงทำงานหนักก็เพราะพระองค์ทรงต้องการให้พสกนิกรของพระองค์มีชีวิตที่มีความสุขและประเทศชาติมีความมั่นคง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนให้ประชาชนได้รู้จักทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่พึ่งพาบุคคลอื่น เพราะจะได้ไม่ต้องผิดหวัง ไม่ต้องรอคอยและจะได้รับผลสำเร็จสมใจนึกเสมอไป ถ้าทุกคนรู้จักแสวงหาประโยชน์จากการปฏิบัติฝึกฝนด้วยตนเอง ไม่โปรดที่จะพระราชทานเงินแต่พระราชทานปัญญาเพื่อให้หาเงินได้อย่างยั่งยืนมากกว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนว่า
“...ในการดำเนินชีวิตของเราเราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆที่เรารู้สึกด้วยใจจริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและประพฤติทุกอย่างที่รู้สึกขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้องและเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ให้ได้จริงๆให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ...”
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของคนดีที่พสกนิกรของพระองค์ต้องดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท พระราชกรณียกิจ พระราชดำริและพระบรมราโชวาทต่างๆที่พระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยตลอดช่วงระยะเวลากว่า 66 ปีล้วนทรงคุณค่าอเนกอนันต์ต่อประชาชนชาวไทยและแผ่นดินไทย พระองค์ทรงพัฒนาและทรงสอนประชาชนให้เป็นคนดีและให้อยู่ได้โดยการ “พึ่งตนเอง” ซึ่งเป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน ส่งผลให้ประชาชนของพระองค์หมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นสามารถช่วยตนเองได้อย่างแท้จริง
เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในวันอันเป็นมหามงคลยิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถิตในดวงใจประชาชน
เช้าตรู่ของวันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2555 ความมืดยังปกคลุมทั่วไป รถจำนวนมากทั้งที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ ต่างวิ่งทยอยกันมุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกันคือบริเวณพระบรมรูปทรงม้า หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
ถนนทุกสายที่จะนำไปสู่พื้นที่ต่างอุดมไปด้วยผู้คนเดินกันขวักไขว่เป็นจำนวนมาก ดูเป็นคลื่นมหาชนที่หลั่งไหลตามกันไป ทุกคนเดินฝ่าความมืดมุ่งไปจับจองพื้นที่ที่จะเข้าเฝ้า เพื่อถวายความจงรักภักดีและถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะเสด็จออกมหาสมาคมในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2555 ในเวลา 10.00 นาฬิกา ณ สีหบัญชรพระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต เพื่อให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าฯเนื่องในโอกาสทรงพระเจริญพระชนมพรรษา 85 พรรษา
อันที่จริงได้มีประชาชนจำนวนไม่น้อยทั้งที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ หรือเดินทางมาจากต่างจังหวัดหรือมาจากต่างประเทศ ได้ไปจับจองพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคมเป็นการล่วงหน้าแล้ว ด้วยปรารถนาจะได้เข้าเฝ้าฯพระองค์ในระยะใกล้ชิด
ก่อนฟ้าสว่างประชาชนทุกคนสวมเสื้อสีเหลืองซึ่งเป็นสีวันพระราชสมภพได้นั่งประจำพื้นที่บริเวณพระบรมรูปทรงม้าและริมถนนที่จะนำไปสู่พระบรมรูปทรงม้าเต็มไปหมดแล้ว เมื่อพระองค์เสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราชมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม ตามรายทางเต็มไปด้วยประชาชนที่เข้าเฝ้าฯ พร้อมโบกธงชาติและธงสีเหลืองที่มีพระปรมาภิไธย ภปร. บ้างก็ชูพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมเปล่งเสียงขอทรงพระเจริญ
จำนวนประชาชนที่เข้าเฝ้าฯถวายพระพรในวโรกาสที่ทรงเสด็จออก ณ สีหบัญชรครั้งนี้มีจำนวนกว่า 2 แสนคน ทุกคนมีสีหน้าที่มีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใส บางคนก็ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออก ณ สีหบัญชร ทุกคนต่างเปล่งเสียงถวายพระพร “ทรงพระเจริญ”ดังกึกก้องไปทั่ว
สำหรับบุคคลที่ไม่ได้เข้าเฝ้าฯในสถานที่นั้นแต่ดูอยู่หน้าโทรทัศน์ทั่วประเทศได้ดูโทรทัศน์ซึ่งถ่ายทอดไปทั่วโลก ต่างก็ถวายพระพรพระองค์ว่า “ทรงพระเจริญ”เช่นเดียวกัน
และตลอดวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯหรือต่างจังหวัดจะเห็นผู้คนพร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองซึ่งเป็นสีวันพระราชสมภพ และตามบ้านเรือนก็ประดับด้วยธงไตรรงค์และธงสีเหลืองประจำพระองค์ที่มีพระปรมาภิไธย ภปร.
ภาพดังกล่าวเหล่านี้เป็นภาพแห่งความจริงที่ยืนยันแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถิตในดวงใจประชาชน จะมีใครสามารถแยกพระองค์ออกจากประชาชนของพระองค์ได้
ในวโรกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 Siamedunews.com ในนามพสกนิกรชาวไทย ขอพระบรมราชานุญาตถวายพระพร
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน พระพลานามัยสมบูรณ์ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติตลอดไป
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ