รมช.ศธ.ตรวจเยี่ยม ร.ร.อนุบาล “สกลนคร” ปลื้มผู้ปกครองพอใจนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้


นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตรวจเยี่ยมโรงเรียนอนุบาลโคกศรีสุพรรณ อ.โคกศรีสุพรรณ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 เมื่อวันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2558 โดยมีนายเทวรัฐ โตไทยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สกลนคร เขต 1 พร้อมด้วยนางสาวสำรวย พิมพ์มีลาย ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลโคกศรีสุพรรณ รวมทั้งคณะครู ผู้ปกครอง และนักเรียน ร่วมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการจัดการศึกษาตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ

นายเทวรัฐ ได้รายงานให้ รมช.ศึกษาธิการรับทราบผลการดำเนินงานในภาพรวมของ สพป.สกลนคร เขต 1 ว่า ได้เน้นดำเนินการตามนโยบายนายกรัฐมนตรี 3 เรื่องที่สำคัญ คือ 1) การแก้ปัญหาให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้  ซึ่งได้จัดทำรูปแบบ (Model)  สำหรับแต่ละโรงเรียนเลือกดำเนินการตามความเหมาะสมจำนวน 8 รูปแบบ ซึ่งในเทอมแรกของปีการศึกษาที่ผ่านมามีนักเรียนมากกว่าร้อยละ 80 ที่ปลอดการอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้

2) การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งเน้นการนำ DLTV และ DLIT ไปใช้ในโรงเรียนขนาดเล็กจำนวน 56 โรงเรียน นอกจากนี้ จังหวัดสกลนครเป็นศูนย์ฝึกอบรม DLIT จึงได้ขยายผลให้ครูทุกคนในเขตพื้นที่ฯ ได้รับการอบรมครบทุกคน

3) การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ซึ่งได้มีการประชุมชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้บริหารทุกโรงเรียนมาโดยตลอด พร้อมทั้งให้ศึกษานิเทศก์ไปเข้ารับการอบรมเพื่อเป็น Smart Trainer นำมาขยายผลแก่ 17 โรงเรียนนำร่อง รวมทั้งโรงเรียนคู่ขนานอีก 2 โรงเรียนที่ร่วมจัดกิจกรรมตามโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ของเขตพื้นที่ฯ

ทั้งนี้ เมื่อได้ดำเนินการไประยะหนึ่งแล้ว จะมี After Action Review : AAR เพื่อสะท้อนข้อเสนอต่างๆ ไปยังกระทรวงศึกษาธิการรับทราบต่อไป โดยผลการประเมินการจัดกิจกรรมในรอบ 1 สัปดาห์ที่ได้ดำเนินโครงการมาตั้งแต่วันเริ่มต้นนโยบาย 2 พฤศจิกายน 2558 ก็พบว่าผู้ปกครองและนักเรียนดีใจกับแนวทางนโยบายดังกล่าวเป็นอย่างดี ถือว่าเป็นส่วนสำคัญต่อการปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง

นางสาวสำรวย กล่าวว่า ทางโรงเรียนอนุบาลโคกศรีสุพรรณเป็น 1 ใน 17 โรงเรียนนำร่องโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ จึงได้ส่งเสริมให้นักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่จัดไว้ให้เพื่อสร้างเสริมทักษะของนักเรียนทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านสติปัญญา (Head) ด้านทัศนคติ (Heart) ด้านเรียนรู้และปฏิบัติจริง (Hand) ด้านสุขภาพ (Health) ใน 3 รูปแบบ คือ 1) กิจกรรมเกมและกิจกรรมตามกลุ่มสาระ ซึ่งเป็นการซ่อมเสริม 8 กลุ่มสาระ 2) กิจกรรมส่งเสริมอาชีพ ช่วงชั้นละ 6 อาชีพ เช่น ด้าน IT, ประดิษฐ์ของเล่นของใช้, อาหาร, เสริมสวย ฯลฯ และ 3) กิจกรรมเสรี 10 กิจกรรม เช่น ดนตรี, นักสืบน้อย, พิธีกร, การละเล่นพื้นบ้าน, คณิตหรรษา, ท่องโลกออนไลน์, กีฬา ฯลฯ โดยให้เด็กเลือกเข้ากิจกรรมตามความสนใจ และภายหลัง 1  เดือนสามารถเปลี่ยนไปเข้าร่วมกิจกรรมอื่นได้ตามความถนัดของแต่ละบุคคล ซึ่งกิจกรรมยอดนิยมที่นักเรียนได้ให้ความสนใจมากที่สุด คือ กีฬา มากถึงร้อยละ 60

ด้าน นพ.ธีระเกียรติกล่าวว่า โครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ถือเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดมากของนายกรัฐมนตรีที่ไม่จำเป็นต้องรอ "วงรอบ" การปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งโดยปกติจะดำเนินการทุก 10 ปี แต่โครงการดังกล่าวเป็นการตัดเวลาเรียน เอาส่วนที่รุ่งริ่งออกไป หรือการให้นักเรียนนั่งเรียนหรือท่องจำในห้องเรียนน้อยลง เพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้จริงๆ นอกห้องเรียน เพราะที่ผ่านมาเด็กไทยเรียนรู้ในห้องเรียนมากที่สุดในโลกถึง 1,400 ชั่วโมงต่อปี ทั้งที่ใช้เวลาเรียนครบตามหลักสูตรได้ใน 850 ชั่วโมงต่อปีเท่านั้น

“การประกวด-ประเมิน-ประกัน ทำให้ครูประสาทกิน ผมได้ต่อสู้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประเมินภายนอกและภายในสถานศึกษา การประกันคุณภาพ เพื่อให้โรงเรียนเลิกเป็นทาสกระดาษ ซึ่งจะต้องไปปรับรูปแบบและตัวชี้วัดให้เหลือน้อยที่สุด เช่น ที่ผ่านมาประเมินด้านสุนทรียภาพของเด็ก แทนที่จะประเมินว่าเด็กที่จบออกไปเรียนต่อสาขาอะไรหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ ในปีการศึกษา 2559 ข้อสอบ O-NET ภาษาไทย จะเริ่มใช้ข้อสอบอัตนัยร้อยละ 20 ดังนั้น ทั้งครูผู้สอน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับระบบการทดสอบของประเทศ คือ ทปอ. และ สทศ. จึงควรปรับรูปแบบการเรียนการสอนและนโยบายในการจัดสอบให้ขยับล้อตามกันไปด้วย (Alignment)  เพื่อให้เป็นทิศทางเดียวกัน”

รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.กล่าวว่า สำหรับนโยบายการยกระดับภาษาอังกฤษ  จะเน้นเริ่มต้นให้เด็กสนใจที่จะเรียนจากแรงบันดาลใจและความจำเป็นที่จะต้องเรียน โดยการให้ดาราที่มีชื่อเสียงของไทย เช่น จาพนม ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ใช้เวลาเรียนเพียง 1-2 ปีก็สามารถสัมภาษณ์ฮอลลีวู้ดได้อย่างคล่องแคล่ว โดยนโยบายนี้จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์มาใช้ร่วมกับการจ้างครูผู้สอนภาษาอังกฤษจากต่างประเทศเข้ามาสอน โดยจะเริ่มต้นวางรากฐานในนโยบายนี้แบบค่อยเป็นค่อยไป

ส่วนสะเต็ม หรือ STEM  ซึ่งเป็นคำย่อมาจากศาสตร์ใน 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) อันหมายถึงองค์ความรู้วิชาการของศาสตร์ทั้งสี่ที่มีความเชื่อมโยงกันในโลกของความเป็นจริงที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ต่างๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันในการดำเนินชีวิตและการทำงาน เพราะเมื่อเราตื่นขึ้นมาก็เห็น STEM เต็มไปหมด เพราะเป็นสิ่งที่อยู่รายล้อมรอบตัวเรา วิธีการที่สำคัญสำหรับครูในการส่งเสริมเด็กจึงควรเป็นการ "ตั้งคำถาม" ให้เด็กคิดและหาคำตอบเอง เช่น พัดลม แอร์ทำงานได้อย่างไร, เราสามารถสูบน้ำจากใต้ดินขึ้นมาได้อย่างไร, สิ่งเหล่านี้สามารถฝึกให้เด็กคิดได้ทุกวัน โดยไม่ได้ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณอะไรเลย

โอกาสนี้ นพ.ธีระเกียรติได้พบปะกับผู้ปกครองนักเรียนชั้น ป.1 คนหนึ่ง ซึ่งมาส่งลูกเข้าเรียน โดยทางผู้ปกครองได้กล่าวถึงโครงการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ว่า ตอนแรกรู้สึกเป็นห่วง เพราะโดยปกติลูกตนเองก็เรียนไม่ค่อยทันเพื่อนอยู่แล้ว กลัวว่าลดเวลาเรียนจะยิ่งทำให้โง่ไปใหญ่ แต่เมื่อได้เห็นแนวทางการจัดกิจกรรมและได้พูดคุยกับลูกที่บ้านในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงรู้ว่ากิจกรรมต่างๆ ที่โรงเรียนได้จัดเตรียมไว้ ทำให้ลูกได้รู้อะไรๆ กว้างมากขึ้นกว่าเดิม จึงยืนยันว่าเป็นโครงการที่ดีสำหรับผู้ปกครองและเด็กๆ ที่ได้มีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากกว่าเรียนในห้องเรียนอย่างเดียว