ศธ.ตรวจพบ สกสค.สูญเงิน 7 พันล้าน เตรียมแจ้งคดีแพ่ง-อาญา หาคนเกี่ยวข้องชดใช้

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2558 รศ.นพ.กำจร ตติยกวี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ซึ่งมี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการต่างๆ ของสำนักงาน สกสค. เพื่อหาผู้กระทำความผิด ซึ่งจากการตรวจสอบมูลค่าความเสียหายโดยรวมเบื้องต้นมีประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท จากทรัพย์สินในสำนักงาน สกสค.ทั้งหมดราว 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้ให้สำนักงาน สกสค.ตรวจสอบทรัพย์สินที่เคยมอบให้กับอดีตผู้บริหารกองทุนการฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) ของสำนักงาน สกสค. และอดีตที่ปรึกษา สกสค. ซึ่งมีทั้งรถประจำตำแหน่ง โทรศัพท์มือถือไอโฟน 6 รวมทั้งกรณีที่มีระเบียบเอื้อประโยชน์ให้กับคณะกรรมการ สกสค.ชุดเก่าสามารถยืมเงินออกไปใช้เป็นจำนวนมากด้วย

ปลัด ศธ.กล่าวต่อว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ สกสค.ยังมอบหมายให้สำนักงาน สกสค.ไปปรึกษาฝ่ายกฎหมายในเรื่องของหลักทรัพย์ที่บริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด นำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการร่วมทุนกับกองทุน ช.พ.ค.ในโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี มูลค่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งมีการตรวจสอบแล้วพบไม่มีมูลค่า ดังนั้น จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างไรได้บ้าง เช่น กรณีของเงินสกุลคูนาของประเทศโครเอเซีย ที่เดิมระบุว่ามีมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท เป็นเงินที่ยกเลิกการใช้แล้ว ถึงแม้จะนำไปแลกที่ประเทศโครเอเชียก็ไม่ได้มูลค่าเท่าเดิม เช่น เงิน 100,000 คูนา อาจมีค่าเพียง 500 บาทเท่านั้น ส่วนตั๋วแลกเงิน หรือดราฟท์ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่อ้างว่าเป็นของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ (ประเทศไทย) ทางธนาคารดังกล่าวก็ยืนยันมาแล้วว่า เป็นของปลอม เพราะไม่มีสถานที่ปลายทางที่ระบุอยู่จริง ทำนองเดียวกับเช็คเงินสดจากธนาคารแลนด์แอนด์เฮาส์ จำนวน 2,100 ล้านบาท ก็ไม่ได้รับการยืนยันว่า เบิกจ่ายได้จริงหรือไม่

รศ.นพ.กำจรยังกล่าวกรณีที่นายสมศักดิ์ ตาไชย เลขาธิการ สกสค. ออกมาระบุว่า เงินจำนวน 2,500 ล้านบาท ที่ร่วมลงทุนในโครงการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี ไม่ใช่เงินของสำนักงาน สกสค. แต่เป็นเงินของกองทุน ช.พ.ค.นั้น ตนขอยืนยันว่า ไม่ว่าเงินจำนวนนี้จะเป็นเงินที่มาจากส่วนใดก็ตาม สำนักงาน สกสค.ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะกองทุน ช.พ.ค.อยู่ในความดูแลของสำนักงาน สกสค. และแม้ขณะนี้จะไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นผู้ลงนามรับหลักทรัพย์ที่บริษัท บิลเลี่ยนฯนำมาใช้ค้ำประกันดังกล่าว แต่ก็มีเอกสารหลักฐานที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงผู้รับผิดชอบในส่วนนี้ได้ เช่นเดียวกับกรณีเงินกองทุน ช.พ.ค.จำนวน 2,500 ล้านบาท ที่นำไปร่วมลงทุนกับบริษัท บิลเลี่ยนฯ ถ้าไม่สามารถนำเงินกลับคืนมาได้ ก็ต้องมีคนรับผิดชอบชดใช้แทน ซึ่งอาจจะเป็นประธานบริหารกองทุน ช.พ.ค.ในสมัยนั้น เพราะเป็นผู้ที่ตัดสินใจให้บริษัท บิลเลี่ยนฯกู้เงินไป และยังไม่มีการตรวจสอบว่าหลักทรัพย์ที่บริษัท บิลเลี่ยนฯนำมาค้ำประกันนั้น เป็นของจริงหรือไม่ ซึ่งคงต้องแจ้งดำเนินคดีแพ่งและอาญาต่อไป