กระทรวงศึกษาฯไม่ดูดำดูดีเด็กและเยาวชน??

 

เสวนากับบรรณาธิการ


ที่ว่ากระทรวงศึกษาฯไม่ดูดำดูดีเด็กและเยาวชนไทย ก็เพราะคนวัยนี้ล้วนแต่เป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงศึกษาธิการทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนในโรงเรียน หรือนักศึกษาในรั้วสถาบันอุดมศึกษา โดยทั้งโรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งต้องฟังนโยบายจากกระทรวงต้นสังกัดไม่หลักว่า จะให้มุ่งเน้นไปในทิศทางใด ซึ่งคงไม่ได้หมายความถึงเฉพาะแต่เรื่องการศึกษาเล่าเรียนในตำรับตำราเพียงเท่านั้น

หากแต่จะไม่สนใจว่า จะเกิดอะไร จะเป็นอะไร ก็ไม่รับรู้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องวิถีชีวิตของบรรดาลูกศิษย์เหล่านี้ก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก ในฐานะที่เป็นหน่วยงานการศึกษาที่ต้องบ่มเพาะและถ่ายทอดความรู้ในด้านๆ ต่าง ทั้งด้านวิชาการ และทักษะในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในรั้วโรงเรียน หรือสถาบันอุดมศึกษา

เฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันทางธุรกิจค่อนข้างรุนแรง ซึ่งหลายๆ ธุรกิจก็สร้างผลกระทบให้กับเด็กและเยาวชนไทยในวัยนักเรียน นักศึกษา ซึ่งจำเป็นที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องมีนโยบายและมาตรการเพื่อปกป้องกลุ่มคนที่อยู่ในความดูแล ซึ่งยังอยู่ในวัยกำลังศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนและสถาบันอุดมศึกษา ที่เป็นหน่วยงานในสังกัด

ธุรกิจหนึ่งที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคมไทยในระยะนี้ว่า น่าจะกำลังแข่งขันกันมอมเมาเด็กและเยาวชนไทยเรา ด้วยการหลอกล่อแจกของชิ้นใหญ่ติดต่อกันเกือบตลอดทั้งปี ในลักษณะที่สุ่มเสี่ยงว่าอาจจะเข้าข่ายการพนัน เฉกเช่นการซื้อหวย เพราะเด็กและเยาวชนต้องเสียเงินไปซื้อผลิตภัณฑ์ในธุรกิจนั้น เพื่อส่งชิงโชค ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ ทองคำ และรถหรูนานาชนิดๆ ฯลฯ

“พ่อค้าสมองใสที่ขาดจิตสำนึก และซ้ำเติมให้สังคมหมกมุ่นจมปลักอยู่กับการเสี่ยงโชคหนักขึ้นๆ โดยอาศัยช่องที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังสิ้นหวัง ไร้ที่พึ่ง และหันไปคาดหวังกับการเสี่ยงโชค เพียงเพื่อหวังกำไรจากยอดขายผลิตภัณฑ์ ด้วยหารปลอกลอกคนที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว และที่สำคัญไม่คำนึงถึงผลเสียต่อสุขภาพร่างกายของผู้บริโภค”

นี่เป็นตัวอย่างเสียงก่นด่าของผู้คนในสังคมไทยที่กำลังแชร์กันในโลกออนไลน์ ต่อพฤติกรรมของธุรกิจที่ผมพูดถึงนั่นแหละครับ ซึ่งท่านผู้อ่านก็ต้องนึกออกว่า ผมหมายถึงธุรกิจเครื่องดื่มชาเขียว

ผมได้อ่านบทความของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์เรื่อง “ชาเขียวเย็นดื่มไปไม่ได้ประโยชน์ คอชาเขียวควรรู้ไว้ ในเครื่องดื่มแก้วโปรดนี้ให้คุณค่าอย่างไร และดื่มแบบไหนประโยชน์สูงสุด” ฉบับวันศุกร์ 19 ตุลาคม เมื่อปี 2555 มีสาระประโยชน์ที่น่าสนใจดังนี้ครับ

green tee การดื่มชาเขียว“ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมอีกชนิดของชาวญี่ปุ่นที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีประวัติการดื่มกันมาเป็นพันๆ ปี หลายคนจึงให้ความสำคัญจนกลายเป็นที่นิยม และมีการนำชาเขียวมาแปรรูป หรือเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมายในท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ขนม ลูกอม หมากฝรั่ง ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความสวยความงามทั้งหลาย นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มแก้กระหาย แก้ง่วง แล้วยังพบว่าชาสามารถแก้ได้สารพัดโรค เพราะชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย ต้านอาการอักเสบ ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ป้องกันตับจากสารพิษและโรคมากมายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ”

“การที่เครื่องดื่มชาให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายก็เนื่องจากองค์ประกอบในใบชาที่เรียกว่า แทนนิน หรือ ทีโพลีฟีนอล (Tea polyphenols) สารสำคัญกลุ่มนี้พบมากในพืชเกือบทุกชนิด แต่ละชนิดอาจจะมีโครงสร้างทางเคมีที่แตกต่างกันไป”


“สำหรับสารแทนนินในใบชาสดหรือชาเขียวที่มีฤทธิ์ทางยาที่สำคัญได้แก่ สารกลุ่มที่ชื่อว่า คาเทชินส์ (catechins) นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า มีฤทธิ์ต้านโรคภัยได้มากมาย หากดื่มเป็นประจำ โดยสามารถจับกับอนุมูลอิสระได้หลายชนิดและขัดขวางการปฏิกิริยาออกซิเดชั่น จึงช่วยป้องกันโรคหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และโรคมะเร็งได้”


“ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากชาเขียว แท้ที่จริงนั้นไม่ใช่เครื่องดื่มหรืออาหารทุกชนิดที่มีส่วนผสมของชาเขียวแล้วเราจะได้รับประโยชน์จากการรับประทาน บทความที่นำมาฝากกันในวันนี้ จึงขออธิบายเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการดื่มชาเขียว เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดกันนะคะ”


“จากงานวิจัยและบทความหลายชิ้นจากทั้งในและต่างประเทศที่ผู้เขียนเคยศึกษา พบว่า อุณหภูมิ และเวลา มีผลต่อการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียวอย่างมีนัยสำคัญ”



“ทั้งนี้ มีบางบทความที่เผยแพร่ในบ้านเรา กล่าวว่า “เรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มหันมาดื่มชาเขียวอย่างคนไทย คือเรามักนิยมดื่มชาเขียวแช่เย็น ซึ่งมีขายอยู่มากมายตามท้องตลาด ซึ่งในประเทศที่ดื่มชาเขียวเป็นนิจอย่างญี่ปุ่นเขาไม่ทำกัน เนื่องจากชาเขียวมีคุณอนันต์ต่อร่างกายในขณะที่ร้อนอยู่เท่านั้น ในทางกลับกันก็มีโทษมหันต์หากดื่มชาเขียวตอนที่เย็นแล้ว กล่าวคือ การดื่มชาเขียวแช่เย็น นอกจากไม่ช่วยในการลดอนุมูลอิสระสารพิษออกจากร่างกายได้แล้วยังก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษดังกล่าวอันเป็นสาเหตุของมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา อาทิเช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น”


การดื่มชาเขียว“แม้จะไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนรองรับว่าการดื่มชาเขียวเย็นจะเกิดผลร้ายต่อร่างกายได้มากมายขนาดนั้น แต่โดยหลักการเราจะได้รับสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจากชาเขียวมากที่สุด คือการดื่มชาเขียวร้อน ในอุณหภูมิที่เหมาะสมเท่านั้นนะคะ (จากงานวิจัยบางงาน สรุปว่าต้มชาเขียวในน้ำร้อนอุณหภูมิ ระหว่าง 70 -78 องศาเซลเซียส เป็นเวลาประมาณ 2-4 นาที จะตรวจพบสารต้านอนุมูลอิสระที่ยังคงอยู่ในปริมาณสูงที่สุดนะคะ) อีกเรื่องที่ฝากเตือนกันคือ การดื่มน้ำชา ไม่ควรแต่งรสด้วยนมทุกชนิด ไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้น หรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อ สุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆ ไม่ควรปรุงแต่ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบ ชาเย็นใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์ใดๆ จากชาเลยค่ะ”


“อ่านมาถึงตรงนี้ ใครที่ชอบดื่มชาเขียวเย็นเป็นขวดๆ ที่มีขายมากมายในท้องตลาดนั้น น่าจะทราบแล้วว่าเราคงไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในชาเขียวเลย คงได้แค่เพียงพลังงานจากน้ำตาล ที่อาจมากเกินไป และสารเคมีที่ใช้ในการแต่งสี กลิ่น รส เพียงเท่านั้น”


“อย่าลืมนะคะว่า “You are what you eat” จะเลือกทานอะไรให้ได้ประโยชน์ คิดก่อนเลือกทานกันนะคะ”


ประโยคท้ายนี้แหละครับ ที่ผมเปรียบเทียบไว้ข้างต้นว่า กระทรวงศึกษาฯไม่ดูดำดูดีเด็กและเยาวชนไทย เพราะผมแทบไม่เคยได้ยินเสียงกระตุ้นเตือนแบบนี้จากกระทรวงศึกษาธิการเลย เรียกว่าเด็กและเยาวชนไทยเราทุกวันนี้ไร้ภูมิคุ้มกัน และขาดความใส่ใจในการปกป้องจากหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแล ครับ!!