เวทีองค์กรครู-ผอ.ชำแหละร่าง กม.การศึกษาชาติ เตือน!รัฐบาล-ศธ. อย่าข่มเขาขืนโคให้กินหญ้า ขู่ฮึ่มทั่วประเทศ
นายธนชน มุทาพร ประธานชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย (ชร.ผอ.สพท.) เปิดเผยกับ สำนักข่าว EdunewsSiam ถึงผลการประชุมร่วมชมรม ผอ.สพท. กับสมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย ในส่วนของกรรมการบริหารและตัวแทนสมาชิก ณ โรงแรมเอเชีย ราชเทวี กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้
โดยมีหัวข้อการประชุมติดตามร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่นายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อนำเรียนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พิจารณานำเสนอเข้าที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ต่อไป
นายธนชนเผยด้วยว่า ในการประชุมครั้งนี้มีผู้แทนองค์กรครูต่างๆ จากทั่วประเทศเข้ามาสังเกตการณ์และร่วมเสวนาเป็นจำนวนมาก อาทิ นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ รักษาการ นายก ส.บ.ม.ท., นายสิรภพ เพ็ชรเกตุ ประธานชมรมครูภาคกลาง ในนามผู้แทนสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย (ส.ค.ท.)
นางรัชฎาพร ชูสกุล ผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและแผน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) ชัยภูมิ เขต ๑ ในนามผู้แทนบุคลากร ๓๘ ค (๒) และนายโจระพรรณ์ สายบัว ในนามผู้แทนชมรมครูประชาบาลภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น
งานนี้มีนายไพศาล ปันแดน ผอ.สพป.สุพรรณบุรี เขต ๑ ในฐานะนายกสมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย เป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมทั้งชี้แจงถึงวัตถุประสงค์การประชุมร่วมกันในครั้งนี้ว่า
เพื่อพิจารณาถึงการนำเสนอร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เสนอไปยังเลขาธิการ ครม. เพื่อนำเรียนนายกรัฐมนตรีเสนอ ครม.พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนของรัฐสภาต่อไปนั้น เป็นร่าง พ.ร.บ.ฉบับที่ผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์ และข้อเสนอที่เห็นต่างจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่
รวมทั้งการประชุมในครั้งนี้ จะพิจารณากำหนดแนวทางการติดตามผลการทำงานของคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ ตามคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ สป.๙๙๕ / ๒๕๖๒ ที่ลงนามโดยนายณัฏฐพล รัฐมนตรีว่าการ ศธ.
เพื่อให้ศึกษาวิเคราะห์ทบทวนบทบาทภารกิจและการจัดโครงสร้าง ศธ.ตามแนวทางการวิเคราะห์ภารกิจภาครัฐ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ กฎหมาย นโยบายรัฐบาล รองรับบริบทการเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการแผ่นดิน
โดยให้จัดทำข้อมูลและข้อเสนอทบทวนภารกิจดังกล่าวนี้ ให้กับรัฐมนตรีว่าการ ศธ.ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการต่อไป
ทั้งนี้ นายธนชน ประธานชมรม ผอ.สพท. ระบุว่า ในที่ประชุมร่วมองค์กรครูได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติดังกล่าว ซึ่งเป็นฉบับที่ร่างโดยคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) มี นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธาน เคยเสนอและถูกต่อต้านจากองค์กรครูทั่วประเทศอย่างรุนแรง จนรัฐบาลในขณะนั้นได้ถอนร่างฉบับนี้ออกจากการพิจารณาของ ครม.ที่กำลังจะประกาศเป็นพระราชกำหนด
แล้วมีบัญชาข้อสั่งการให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.นำร่างฉบับนี้ไปให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ประชาพิจารณ์อีกครั้ง ซึ่งชมรม สมาคม และองค์กรครูทั่วประเทศ ได้ให้ความเห็นพร้อมข้อเสนอแนะที่ควรปรับปรุงแก้ไขอยู่หลายประเด็น
แต่กระนั้นกลับมีกระแสข่าวว่า นายณัฏฐพล รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ยังเสนอร่างฯเดิมฉบับ กอปศ.ดังกล่าว โดยไม่มีข้อเสนอแก้ไขให้กับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๓
โดยมีการจัดทำความเห็นข้อเสนอของส่วนราชการ ศธ.ไปว่า “ได้ศึกษา วิเคราะห์ ตรวจสอบและพิจารณาทบทวนความสอดคล้องของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ... และร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ. ...กับนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่ได้แถลงต่อรัฐสภาแล้ว
เห็นว่า มีความสอดคล้องกับนโยบายของคณะรัฐมนตรีในทุกประเด็นด้านการศึกษา และเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐ ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.๒๕๖๑-๒๕๘๐ และแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาที่กำหนดไว้
ศธ.จึงพิจารณาว่า ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวนี้ เป็นกฎหมายที่มีกลไกให้การศึกษาเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สร้างสังคม สร้างชาติ เพื่อตอบสนองคนในศตวรรษที่ ๒๑ ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นกฎหมายที่จะพัฒนาคนไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามที่กำหนดเป็นวิสัยทัศน์ของประเทศไทย...)”
นายธนชน ประธานชมรม ผอ.สพท. ระบุว่า จากข้อเสนอของนายณัฏฐพล รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ดังกล่าวนี้เอง ได้ทำให้บรรยากาศของที่ประชุมร่วมองค์กรครูครั้งนี้ดุเดือด มีการลุกขึ้นอภิปรายอย่างกว้างขวาง ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว
เพราะ ศธ.ไม่ได้นำความเห็นของสภาการศึกษา (สกศ.) ไปกล่าวอ้างด้วย ทั้งที่ได้รายงานไปแล้วว่า มี 2 ประเด็น ที่ผลการประชาพิจารณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนตำแหน่ง “ผู้อำนวยการสถานศึกษา” เป็น “ครูใหญ่” เปลี่ยน “รองผู้อำนวยการ” เป็น “ผู้ช่วยครูใหญ่” และเปลี่ยน “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” เป็น “ใบรับรองความเป็นครู”
ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะชมรม ผอ.สพท. สมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย และองค์กรครูทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาให้สำเร็จ ได้จัดทำข้อเสนอที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งใน ๔ ประเด็นหลัก เพราะเป็นการหมกเม็ด รวมทั้งเป็นการรวบอำนาจแบบซ่อนรูป ดังนี้
๑) การเปลี่ยนตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา และรอง ผู้อำนวยการสถานศึกษา เป็น ครูใหญ่ และ ผู้ช่วยครูใหญ่ ตามลำดับ จึงเห็นควรให้คงชื่อตำแหน่งไว้เหมือนเดิม
๒) การเปลี่ยนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เป็น ใบรับรองความเป็นครู ซึ่งใน ๒ ประเด็นนี้อาจส่งผลให้ ผู้บริหาร ครูที่จะเข้ารับราชการใหม่ไม่สามารถได้รับเงินเดือนและเงินวิทยฐานะตามกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงเห็นควรให้คงใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูไว้เหมือนเดิม
๓) ในมาตรา ๙๙ ได้บัญญัติให้กระทรวงศึกษาธิการจัดระเบียบบริหารราชการ โดยมิให้ออกเป็นกฎหมาย และที่สำคัญได้กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้บังคับบัญชา เพราะถ้ากฎหมายมีผลใช้บังคับ จะต้องไปแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชาการกระทรวงศึกษาธิการ
นั่นคือจะต้องยุบแท่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ก็จะเป็นการบริหารแบบ Single Command มีสายการบังคับบัญชารวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการ จะเป็นการสั่งการมากกว่าการกระจายอำนาจ จึงสุ่มเสี่ยงต่อการคอรัปชั่นเชิงนโยบายง่ายยิ่งขึ้น
ในขณะที่การจัดการศึกษาที่จะให้เกิดคุณภาพนั้น จะต้องกระจายอำนาจให้หน่วยปฏิบัติในพื้นที่ให้มากที่สุด และที่สำคัญกระทรวงศึกษาธิการ ไม่เหมาะที่จะบริหารแบบ Single Command เหมือนกับบางกระทรวง เพราะกระทรวงศึกษาธิการเป็นพื้นที่แห่งปัญญา เป็นคลังสมองของชาติ
ดังนั้น หน่วยปฏิบัติจะต้องมีอิสระในการบริหารจัดการศึกษาให้มากที่สุด ประกอบกับในมาตรา ๖๖ ที่บัญญัติให้การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการ ต้องไม่มีลักษณะที่ทำให้การจัดการศึกษาถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆ โดยไม่ต่อเนื่องหรือบูรณาการกัน...
ยิ่งจะทำให้เกิดข้อจำกัดในการบริหารจัดการศึกษาที่จะต้องคำนึงถึงระบบการศึกษา และระดับการศึกษา ที่จะมีรูปแบบ วัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน การบริหารจัดการศึกษาจะต้องคำนึงถึงความถนัด ความเชี่ยวชาญของแต่ละระบบการศึกษาหรือระดับการศึกษาความมีอิสระในการปฏิบัติให้สอดคล้องกับภารกิจและกลุ่มเป้าหมาย จึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด
ดังนั้น หลักการจัดการศึกษาที่จะตอบโจทย์ของการสร้างทรัพยากรมนุษย์ ให้เป็นไปตามคุณลักษณะของผู้เรียนในศตวรรษที่ ๒๑ ได้ จะต้องคำนึงถึงความมีเอกภาพทางนโยบาย และหลากหลายการปฏิบัติ ตามบริบทของแต่ละระบบการศึกษา และระดับการศึกษา หรือความสอดคล้องกับภารกิจและกลุ่มเป้าหมาย
นายธนชน ประธานชมรม ผอ.สพท. ระบุว่า ในประเด็นดังกล่าวนี้ ที่ประชุมร่วมองค์กรครูครั้งนี้ จึงมีมติไม่เห็นด้วย ควรไปยกเลิกมาตรา ๙๙ และปรับปรุงมาตรา ๖๖ โดยบัญญัติให้การแบ่งส่วนราชการกระทรวงศึกษาธิการ จะต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ทั้งนี้เพื่อให้รัฐสภาได้โปรดพิจารณาร่วมกันอย่างรอบคอบ โดยให้คำนึงถึงความมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ โอกาสทางการศึกษา และความคุ้มค่าให้มากที่สุด
ซึ่งบทเรียนที่เป็นยาขมให้กับองค์กรครูได้รับในทุกวันนี้ คือการออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ ๑๙/๒๕๖๐ ซึ่งเป็นการออกคำสั่งที่ไม่เกิดจากการมีส่วนร่วมตามหลักการประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
จึงก่อให้เกิดปัญหาข้อจำกัดในการบริหารจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาคจนทุกวันนี้
๔) ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...ฉบับนี้ ไม่ให้ความสำคัญบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา ๓๘ ค (๒) ซึ่งแทบจะไม่มีปรากฏในพระราชบัญญัติฉบับนี้ ทั้งที่ข้อเท็จจริงข้าราชการดังกล่าวนี้เป็นฝ่ายสนับสนุนให้การบริหารจัดการศึกษาทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จนส่งผลให้การบริหารจัดการศึกษาในสถานศึกษาเป็นไปได้ด้วยดี
และที่สำคัญนับตั้งแต่ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และแก้ไขเพิ่มเติม มีผลใช้บังคับ บุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา ๓๘ ค (๒) ได้ถูกผลักดันให้ไปรับเงินเดือนตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน
จึงทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในกระทรวงศึกษาธิการ เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๗ วรรคแรก และวรรคสาม ที่เป็นข้าราชการในกระทรวงเดียวกัน แต่ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
โดยกฎหมายได้แบ่งแยกให้บุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา ๓๘ ค (๒) ไม่ให้เป็นข้าราชการครู ซึ่งแตกต่างจากหน่วยงานอื่น เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็มีบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกันกับบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา ๓๘ ค (๒) แต่บุคลากรเหล่านั้นก็เป็นข้าราชการตำรวจเช่นเดียวกัน รับเงินเดือนบัญชีเดียวกัน หรือกระทรวงกลาโหมก็เช่นเดียวกัน
จะมีแต่กระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น ที่แบ่งแยกข้าราชการในสังกัดเดียวกันให้เกิดความแตกต่าง สร้างความไม่เท่าเทียมกัน เพราะรับเงินเดือนคนละบัญชี
ในประเด็นนี้องค์กรครูก็ไม่เห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...ฉบับนี้ ที่ยังปล่อยให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม เป็นการขัดกับรัฐธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๒๗ วรรคแรก และวรรค สาม
จึงเห็นควรให้บุคลากรอื่นตามมาตรา ๓๘ ค (๒) เป็นข้าราชการครู ประเภทสนับสนุนสายงานการสอน และให้ได้รับเงินเดือนบัญชีเดียวกัน เหมือนกับข้าราชการครูในปัจจุบัน
ข้อเสนอของชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย และสมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย และองค์กรเครือข่ายครูทั่วประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้ชายคาเดียวกัน จะต้องได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน
จึงเห็นควรให้ข้าราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการทุกคน ทั้งในส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค เป็นข้าราชการครูทั้งหมด และให้ได้รับเงินเดือนในบัญชีเดียวกัน โดยให้เป็นประเภทสนับสนุนการสอน
นี้คือ ๔ ประเด็นหลักที่องค์กรครูทั่วประเทศได้สะท้อนพร้อมข้อเสนอในเวทีประชาพิจารณ์ทุกเวที แต่สภาการศึกษา หรือ สกศ.กลับสรุปความเห็นว่า มีเพียง 2 ประเด็นแรกเท่านั้น ที่ไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น นายณัฏฐพล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ก็ไม่ได้นำความไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งใน 2 ประเด็นนี้ มาจัดทำข้อเสนอของส่วนราชการ ศธ. เพื่อเสนอให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่กลับเสนอว่าร่างดังกล่าวนี้สอดคล้องในทุกประเด็น
ส่วนประเด็นการประชุมพิจารณาการกำหนดแนวทางการติดตามผลการทำงานของคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีนายวราวิช กําภู ณ อยุธยา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นประธานคณะทำงาน
ในประเด็นนี้ นายธนชน ประธานชมรม ผอ.สพท. เปิดเผยว่า จากการติดตามรับฟังจากสื่อมวลชนต่างๆ ที่นายวราวิชได้เปิดเผยให้ทราบนั้น ในที่ประชุมร่วมองค์กรครูครั้งนี้ สรุปได้ว่า
การปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ ในส่วนของการบริหารจัดการของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้เสนอให้มี อ.ก.ค.ศ.สพฐ.ประจำส่วนราชการ และ อ.ก.ค.ศ.สพฐ.ประจำจังหวัด โดยการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และแก้ไขเพิ่มเติม
โดยในร่างปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ ได้เสนอปรับปรุงแก้ไขคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๑๙/๒๕๖๐ ในข้อที่เป็นข้อจำกัดต่อการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของกระทรวงศึกษาธิการ โดยเสนอให้ยกเลิก ข้อ ๑๓ ของคำสั่งฯ และข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อ ๑๓ ซึ่งเป็นแนวทางข้อเสนอที่คณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างฯมีความเห็นร่วมกันเป็นที่ยุติแล้ว
และก็ได้รับการสนับสนุน และผลักดันจากนายวราวิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการ ศธ. และประธานคณะกรรมการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ มาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ได้ล่วงเลยมาเป็นระยะเวลาปีเศษแล้ว แต่ทราบอย่างไม่เป็นทางการว่า ข้อเสนอปรับปรุงโครงสร้าง ศธ.ตามคำสั่งดังกล่าว ก็ยังมิได้เสนอขึ้นไปถึงนายณัฏฐพล รัฐมนตรีว่าการ ศธ.
ไม่ทราบว่าไปติดขัดที่ขั้นตอนใด จึงทำให้เกิดความล่าช้า เพราะข้อเสนอปรับปรุงโครงสร้างดังกล่าว เป็นความคาดหวังอย่างสูงของชมรม และสมาคม รวมทั้งองค์กรครูทั่วประเทศ ที่จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขการปฏิรูปการศึกษาในภูมิภาคของ ศธ.ให้เกิดประสิทธิภาพและคุณภาพ
ที่ประชุมร่วมองค์กรครูจึงมีมติว่า จะแต่งตั้งตัวแทน ผอ.สพท.จากทุกรุ่นจากทุกภูมิภาคเข้าไปให้กำลังใจนายณัฏฐพล รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้โปรดพิจารณาเร่งรัด ติดตามข้อเสนอการปรับโครงสร้าง ศธ.ให้แล้วเสร็จภายในสมัยประชุมรัฐสภานี้
นอกจากนี้ เพื่อให้มีพลังในการขับเคลื่อนให้ได้ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...ที่บรรลุตามข้อเสนอใน ๔ ประเด็นหลักดังกล่าวข้างต้น ที่ประชุมร่วมองค์กรครูจึงมีมติให้จัดประชุมสมาชิกสมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่งประเทศไทย ชมรม ผอ.สพท.แห่งประเทศไทย พร้อมผู้แทนองค์กรครูทั่วประเทศอีกครั้งในเร็วๆ นี้
“โดยจะเชิญนายณัฏฐพล รัฐมนตรีว่าการ ศธ.มาเป็นประธานเปิดการประชุม พร้อมทั้งเชิญเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หรือเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มาบรรยายพิเศษ รวมทั้งเชิญผู้บริหารสูงสุดของแต่ละแท่งบริหารหลักของ ศธ.เข้าร่วมประชุมด้วย”
นายธนชน ประธานชมรม ผอ.สพท. ระบุตอนท้ายว่า ชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คงจะตระหนักถึงสำนวนสุภาษิตที่ว่า อย่าข่มเขาขืนโคให้กินหญ้า
“พวกเราจะพยายามอดทน ถ้าไม่จำเป็นจนถึงที่สุด พวกเราจะไม่ออกมาประท้วงเหมือนที่ผ่านมา แต่ถ้ารัฐบาลยังทำเป็นหูทวนลม ไม่สนใจในข้อเสนอทั้ง ๔ ข้อดังกล่าวนี้ ชมรม สมาคมและองค์กรครูทั่วประเทศ คงมิอาจหลีกเลี่ยงแสดงพลังออกมาให้มากกว่าเดิมอีกครั้งหนึ่ง”
(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)