วช.หนุนนักวิจัย ม.นเรศวร ต่อยอดเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ'อินทผลัม'สู่พาณิชย์

คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก เป็นแห่งแรกที่ประสบความสำเร็จในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมจากหน่อข้างพันธุ์ดี

โดยเริ่มเผยแพร่ผลงานวิจัยครั้งแรกในวารสารเชิงวิชาการ “วารสารพืชศาสตร์สงขลานครินทร์ ปีที่ 3 (พิเศษ 1)” และ “วารสารวิทยาศาสตร์เกษตร ฉบับ 47 (พิเศษ 3)” ในปี พ.ศ.2559 และนับเป็นการสร้างความฮือฮาในวงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อในประเทศไทยเป็นอย่างมาก นับเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจการเกษตร และปลูกกระแสอินทผลัมให้เป็นที่สนใจของคนไทย

จนมาถึงปัจจุบัน นักวิจัยได้พัฒนางานวิจัยและต่อยอดเพื่อหวังผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมให้ออกสู่ตลาดในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งในปี พ.ศ.2564 นี้ ทีมวิจัยได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ให้ทำการศึกษาวิจัย เรื่องการคัดเลือกสายพันธุ์และการขยายพันธุ์มะพร้าวน้ำหอมและอินทผลัมเชิงพาณิชย์

โดยมุ่งพัฒนาต่อยอดสู่เชิงพาณิชย์และถ่ายทอดให้กับบริษัทเอกชน เพื่อลดการนำเข้าต้นพันธุ์อินทผลัมจากต่างประเทศ และให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมส่งออกในอนาคต

ผศ.ดร.พีระศักดิ์ ฉายประสาท คณบดีคณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร ให้ข้อมูลว่า อินทผลัมเป็นพืชที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี หากมีการจัดการสภาพแวดล้อมที่ดี ได้แก่ ดิน ปุ๋ย และน้ำ จะยิ่งทำให้ต้นอินทผลัมมีความสมบูรณ์และให้ผลผลิตสูง

ถึงแม้เราจะทราบกันดีว่าอินทผลัมสามารถทนแล้งได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าอินทผลัมชอบแล้ง พืชทุกชนิดหากได้รับปริมาณธาตุอาหารและน้ำอย่างเหมาะสมก็จะให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ

แต่อย่างไรก็ตามเกษตรกรไม่ควรปล่อยปะละเลยเรื่องแมลง โดยเฉพาะด้วงงวง ซึ่งเป็นแมลงศัตรูที่มีความสำคัญมาก เมื่อตัวเต็มวัยว่างไข่และตัวอ่อนเจริญกัดกินยู่ภายในลำต้นอินทผลัมแล้วเป็นเรื่องยากที่จะกำจัดได้

"ส่วนใหญ่ต้นอินทผลัมที่ถูกด้วงงวงทำลายมักจะตายในที่สุด ดังนั้น จึงควรหมั่นตรวจแปลง และป้องกันกำจัดด้วยวิธีกลและใช้สารเคมีอย่างถูกต้องและปลอดภัย"

ผศ.ดร.พีระศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า ปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้าตันพันธุ์อินทผลัมจากแลปเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างประเทศ จึงทำให้ราคาสูงและราคาเพิ่มขึ้นทุกปี ในขณะเดียวกันนักวิจัยในประเทศก็มีองค์ความรู้และมีฝีมือไม่แพ้นักวิจัยต่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์ไม่มากเท่ากับนักวิจัยในต่างประเทศก็ตาม

"ในอนาคตเรา (ประเทศไทย) ก็หวังจะเป็นผู้ผลิตต้นพันธุ์อินทผลัมที่สำคัญในภูมิภาคนี้"

ผศ.ดร.พีระศักดิ์ ยังกล่าวด้วยว่า นอกจากอินทผลัมแล้ว เรายังได้ทำการวิจัยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชชนิดอื่นๆ เช่น มะพร้าวน้ำหอมก้นจีน อ้อยปลอดโรคใบขาว กล้วยไม้สกุลต่างๆ  กัญชง และสตรอว์เบอร์รี อีกด้วย 

"คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร มีความมุ่งมั่นที่จะทำการศึกษาวิจัย และนำองค์ความรู้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ เราได้นำองค์ความรู้ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของคณะ เพื่อผลิตบัณฑิตที่มีทักษะการปฏิบัติงาน มีความรอบรู้ ทันต่อเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของโลก และที่สำคัญบัณฑิตจะต้องเป็นที่ต้องการของผู้ใช้บัณฑิตด้วย"

ด้าน ดร.นพรัตน์ อินถา นักวิจัย กล่าวว่า การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออินทผลัมเพื่อให้ได้ต้นพันธุ์ดีเพศเมีย จะต้องนำหน่อข้างหรือช่อดอกมาเพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ หรือ เลี้ยงในอาหารสังเคราะห์ เพื่อชักนำให้เกิดแคลลัส (callus)

จากนั้น จึงชักนำให้เป็นต้นอ่อนขนาดเล็ก ก่อนชักนำให้เกิดราก และเลี้ยงจนได้ต้นอ่อนที่ใบและรากที่สมบูรณ์ ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี จึงย้ายออกจากขวดหรือหลอดทดลอง แล้วนำไปปลูกอนุบาลในโรงเรือนอนุบาลพืช อีกประมาณ 12 เดือน จึงจะนำไปปลูกในแปลงปลูกได้

แต่หากต้องการต้นพันธุ์จำนวนมากก็ต้องใช้ระยะเวลามากขึ้นไปตามจำนวนต้นพันธุ์ที่ต้องการ

"แต่ทั้งนี้ไม่ควรเพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อเป็นระยะเวลานาน หรือไม่ควรนำแคลลัสไปเพิ่มปริมาณหลายรอบ ซึ่งจะทำให้เกิดความแปรปรวนทางพันธุกรรมอันเนื่องมากจากการโคลน (Somaclonal variation) ได้" นักวิจัย มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวทิ้งท้าย

 

 (โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)