ข่าวดี!ผู้ป่วยโควิด-19 ใน รพ.สนาม อว.ต่ำกว่า 2 พันคน ครั้งแรกรอบ 6 เดือน

ผู้ป่วยโควิด รพ.สนามของ อว.ต่ำกว่า 2 พันคนเป็นครั้งแรกรอบ 6 เดือน ปิด รพ.สนามได้แล้ว 35 แห่ง ปลัด อว.เผยมาตรการของรัฐได้ผล

ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 ว่า ขณะนี้มีข่าวดีสำหรับประเทศไทย นั่นก็คือ วันนี้ 17 พ.ย. 2564 เป็นวันแรกในรอบ 6 เดือน ที่มียอดผู้ป่วยโควิด-19 รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล (รพ.) สนามของ อว. ต่ำกว่า 2,000 คน โดยจำนวนผู้ป่วยที่รักษาตัวอยู่ในขณะนี้เหลืออยู่เพียง 1,912 คน

ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยดีขึ้นชัดเจน คนติดเชื้อรายวันลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งสัญญาณว่านโยบายและมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลในการควบคุมการระบาดได้ผล รวมทั้งนโยบายการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับชาวต่างประเทศและการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2564 เป็นต้นมา ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบหรือทำให้สถานการณ์การระบาดแย่ลง

ปลัด อว.กล่าวต่อว่า หน่วยงานของ อว.ทั่วประเทศได้ร่วมกันเปิด รพ.สนาม เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิดมาตั้งแต่เดือน เม.ย.2564 โดยใช้โรงเรียนแพทย์และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยหลักในแต่ละพื้นที่ แปรสภาพมาเป็นโรงพยาบาลชั่วคราว ซึ่งมีถึง 68 แห่ง กระจายไปใน 49 จังหวัด มีจำนวนเตียงรองรับผู้ป่วยรวมแล้วกว่า 15,777 เตียง

ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา รพ.สนามของ อว.ได้ดูแลรักษาผู้ป่วยมาแล้วเป็นจำนวน 92,670 คน ซึ่งจากสถิติพบว่า ตัวเลขผู้ป่วยมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ จากที่เคยขึ้นสูงสุดถึง 8,000 กว่าคน มาถึงวันนี้ยอดลดลงเหลือไม่ถึง 2,000 คนแล้ว โดยปัจจุบันหลังจากสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย รพ.สนาม อว.ได้ทยอยปิดตัวไปแล้วกว่า 35 แห่ง คงเหลือที่ยังเปิดให้บริการอยู่ 33 แห่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากสถานการณ์การระบาดเริ่มแย่ลง เราก็พร้อมที่จะกลับมาเปิดให้บริการใหม่ได้ทันที 

“ขอขอบคุณ รพ.สนาม อว.ทุกแห่ง ทั้งที่ปิดตัวไปแล้วหรือยังเปิดให้บริการอยู่ รวมถึงบุคลากรทุกท่านที่เสียสละเพื่อร่วมต่อสู้กับวิกฤติโควิดในครั้งนี้ และขอยืนยันว่า อว.พร้อมเป็นกองหนุนที่มีคุณภาพ เป็นกระทรวงที่รับรู้ทุกข์สุขของคนในประเทศ ในยามที่ชาติเกิดวิกฤตเราพร้อมที่จะออกมาช่วยเหลือประชาชนเสมอ” ปลัด อว.กล่าว

 

(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)