วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 เวลา 09.00 น. พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคกลาง พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ เพิ่มเกษร รองเลขาธิการ กปร. และคณะอนุกรรมการฯ เดินทางไปยังโรงเรียนวัดทุ่งมะสัง อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการฝายทดน้ำบ้านรางเข้พร้อมระบบส่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลหนองกุ่ม อำเภอบ่อพลอย โดยรับฟังบรรยายสรุปความเป็นมา และความก้าวหน้าของโครงการฯ จากผู้แทนสำนักงาน กปร.และกรมชลประทาน
ต่อมาองคมนตรีพบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่ พร้อมให้ข้อคิดเห็นในการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก่อนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานโครงการฯ
สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2533 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานพระราชดำริ แก่เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน และเจ้าหน้าที่สำนักงาน กปร. ณ อาคารชัยพัฒนา พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สรุปความว่า ควรพิจารณาวางโครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยตะเพิน จังหวัดกาญจนบุรี และสุพรรณบุรี ได้แก่
- พิจารณาก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณตอนบนของห้วยตะเพิน ที่เขตอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี และอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมกับสร้างฝายทดน้ำทางด้านท้ายอ่างเก็บน้ำดังกล่าว ในลำน้ำสายนี้เป็นระยะ ๆ เพื่อช่วยเหลือการเพาะปลูกของราษฎรในช่วงเวลาที่ขาดแคลนน้ำ และช่วยบรรเทาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูน้ำหลาก
- พิจารณาก่อสร้างอ่างเก็บน้ำตามลำน้ำสาขาต่าง ๆ ของห้วยตะเพิน ในเขตอำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี และเขตอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อจัดหาน้ำช่วยเหลือราษฎรในเขตโครงการฯ ให้มีน้ำใช้สำหรับการเพาะปลูกและอุปโภคบริโภคตลอดทั้งปี
สำนักงาน กปร. และกรมชลประทานจึงได้ดำเนินการสนองพระราชดำริ ดำเนินโครงการฝายทดน้ำบ้านรางเข้ พร้อมระบบส่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาลุ่มน้ำห้วยตะเพินอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อจัดหาน้ำช่วยเหลือราษฎรในการเพาะปลูก อุปโภคบริโภค โดยในปีงบประมาณ 2562 คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ หรือ กปร. ได้สนับสนุนงบประมาณให้กรมชลประทาน ในการดำเนินกิจกรรมเบื้องต้น อาทิ สร้างบ้านพัก ถนน ติดตั้งแท็งก์น้ำ เป็นต้น
จากนั้นในปีงบประมาณ 2563-2567 กรมชลประทาน กำหนดแผนการดำเนินงานโดยใช้งบประมาณปกติ ซึ่งเมื่อการดำเนินงานโครงการแล้วเสร็จ จะส่งน้ำสนับสนุนพื้นที่เพาะปลูกในช่วงฤดูฝนได้ประมาณ 3,500 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตภาคการเกษตรมีคุณภาพและมีปริมาณเพิ่มขึ้น เกิดความหลากหลายในการพัฒนาอาชีพ อันจะนำมาซึ่งรายได้ที่ยั่งยืนต่อไป
กองประชาสัมพันธ์
สำนักงาน กปร.