ราชภัฏ-อุดมศึกษา ผนึก กสศ. เดินหน้าครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่น ๔ ผลิตและพัฒนาครู ตอบโจทย์ท้องถิ่น

ราชภัฏ-อุดมศึกษา ผนึก กสศ. เดินหน้าครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่น ๔ ผลิตและพัฒนาครู ตอบโจทย์ท้องถิ่น 

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เดินหน้าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 4 ปีการศึกษา 2566 จับมือ ม.ราชภัฏและอุดมศึกษา สร้างโอกาสนักเรียนยากจนด้อยโอกาส ที่มีศักยภาพรักเป็นครูใได้ศึกษา จบแล้วได้บรรจุเป็นครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลชุมชนบ้านเกิด ตอบโจทย์ทำงานท้องถิ่น  

โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 4 ปี ดังกล่าว มีการจัดประชุมปฏิบัติการและลงนามความร่วมมือและพัฒนาแนวทางการทำงานร่วมกัน ระหว่าง กสศ. กับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, มหาวิทยาลัยพิบูลสงคราม, มหาวิทยาลัยหมู่บ้านจอมบึง, มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, มหาวิทยาลัยไลยอลงกรณ์, มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กระทรวงการอุดมศึกษา ฯ (อว.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) และสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา (คส.)

สืบเนื่องจาก กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสให้แก่นักเรียนยากจนด้อยโอกาส ซึ่งมีศักยภาพและมีใจรักอยากเป็นครูให้ได้ศึกษาจนสำเร็จการศึกษา และได้รับการบรรจุเป็นครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลและเป็นชุมชนบ้านเกิด เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนครูและการโยกย้าย โดย กสศ.คาดหวังว่า นักศึกษาผู้รับทุนจะได้รับการบ่มเพาะจิตวิญญาณความเป็นครู และเป็นนักพัฒนาชุมชนที่มีศักยภาพสอดคล้องกับโจทย์การทำงานในท้องถิ่น

ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม บอกว่า...

มหาวิทยาลัยที่ร่วมลงนามความร่วมมือโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีศักยภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นด้วยการวิจัยและการบริการวิชาการอย่างสร้างสรรค์ ทั้งความเป็นผู้นำด้านวิชาการของภูมิภาค เรียกได้ว่าเป็นสถาบันต้นแบบในการพัฒนานวัตกรรมการผลิตและพัฒนาครูระบบปิด คือ การสร้างครูลักษณะเฉพาะลงในพื้นที่เฉพาะ

แต่ในกรณีนี้ คือ การผลิตครูเพื่อพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นทุรกันดาร การปลูกฝัง DNA ของนักพัฒนาชุมชนร่วมไปกับการพัฒนาทางวิชาการที่ทันสมัย

...แน่นอนว่า นวัตกรรมเหล่านี้จะเป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่มหาวิทยาลัยต้นแบบดังกล่าวต้องร่วมมือกัน โดยใช้ความเชี่ยวชาญของการเป็นสถาบันการอุดมศึกษา ความเป็นเลิศด้านวิชาการในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบตามหลักวิชาการ เพื่อยืนยันผลผลิตและพัฒนาครูระบบปิด ตั้งแต่กระบวนการค้นหาคัดกรองที่มีมาตรฐาน การนำเยาวชนในชุมชนที่มีศักยภาพและความมุ่งมั่นมาเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา 4 ปี ด้วยหลักสูตรที่แต่ละมหาวิทยาลัยออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองชุมชน และจะต้องบรรจุทำงานที่บ้านเกิดเป็นระยะเวลา 6 ปี...

เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายของงานวิจัยระยะยาวเพื่อเป็นแนวทางใหม่ในการผลิตและพัฒนาครูทางเลือกที่มีศักยภาพ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการผลิตและพัฒนาครูระบบปิดจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ตัดวงจรการขาดแคลนครู และเพิ่มอัตราการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพบนฐานแนวคิดที่ว่า เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ฟังถึงผลงาน 3 รุ่นที่ผ่านมาจาก รศ.ดร.ดารณี อุทัยรัตนกิจ กรรมการบริหาร กสศ. และประธานอนุกรรมการพัฒนาระบบการผลิตและพัฒนาครูสำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล กล่าวว่า กสศ. มอบโอกาสให้นักเรียนมาแล้ว 3 รุ่น จำนวน 865 คน และสำหรับโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น รุ่นที่ 4 มีนักเรียนทุน 327 อัตรา จาก 324 โรงเรียนปลายทางใน 43 จังหวัด และปี 2566 รุ่นที่ 5 โครงการฯ จะรับนักเรียนทุนอีก 310 อัตรา เมื่อรวมกับรุ่น 1-4 แล้ว จะได้นักศึกษาครูรัก(ษ์)ถิ่น 1,500 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

โดยสถาบันผลิตและพัฒนาครูทุกแห่ง ที่ร่วมเป็นเครือข่ายทำงาน กำลังเป็นผู้สร้างและก่อความเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตและพัฒนาครูครั้งสำคัญ ซึ่ง กสศ. เชื่อว่า ด้วยพลังของทั้ง 18 สถาบัน จะพิสูจน์ให้เห็นว่าโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น เป็นโครงการวิจัยเชิงปฏิบัติการในพื้นที่จริง สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบในการผลิตและพัฒนาครูตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำให้เห็นอย่างชัดเจน

"กระบวนการต้นน้ำ คือ สถาบันแต่ละแห่งมีนวัตกรรมการค้นหาคัดเลือกเพื่อให้ได้นักศึกษาตรงคุณสมบัติ กลางน้ำ คือ หลักสูตรซึ่งสถาบันจัดเตรียมไว้เพื่อให้ตอบสนองตามหลักคิดและแนวทางของโครงการซึ่งลงรายละเอียดถึงเด็กเป็นรายคน และตามความแตกต่างของลักษณะพื้นที่แต่ละแห่ง

ส่วนปลายน้ำ คือ ปลายทางที่นักศึกษาครูรัก(ษ์)ถิ่นจะไปบรรจุ ที่สถาบันผลิตและพัฒนาครูได้ทำงานร่วมกับโรงเรียน เพื่อพัฒนาทั้งโรงเรียนและชุมชนท้องถิ่นไปพร้อมกัน ด้วยหลักสูตรเฉพาะทางหรือ Enrichment Program ที่จัดเตรียมความพร้อมของครูไว้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ชุมชนของตนเอง เมื่อครูกลุ่มนี้เรียนจบ เขาจึงพร้อมทำงานทันที พร้อมพัฒนาโรงเรียนและสร้างความเปลี่ยนแปลงในท้องถิ่น

เราเชื่อว่าครูคุณภาพสูงคนหนึ่ง จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มหาศาลให้กับพื้นที่ ดังนั้นเมื่อเรามีครูรุ่นใหม่ที่เข้าใจการจัดการศึกษาและพัฒนาชุมชนถึง 1,500 คน ย่อมหมายถึงโอกาสเข้าถึงการศึกษาคุณภาพของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งถือว่าเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศในอนาคต"

ขณะที่ ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวถึงหน้าที่หลักของ กสศ. คือ การบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพิ่มเติม ว่า...

 

 

...โจทย์หนึ่งของการแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำที่ กสศ. ทำตั้งแต่ปี 2562 คือ การทำงานกับโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ห่างไกล ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนตามแนวชายแดน โรงเรียนบนพื้นที่เกาะ หุบเขา หรือพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งมีปัญหาเรื่องอัตรากำลังครู ทั้งจากการไม่มีครูเลือกบรรจุทำงาน หรือมีครูขอโยกย้ายออกปีละจำนวนมาก จนเป็นปัญหาเรื่องการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการ รวมถึงระบบนิเวศทางการเรียนรู้ที่ยังไม่สามารถส่งเสริมให้เด็กในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้

ปัจจุบัน กสศ. มีสถาบันผลิตและพัฒนาครู จำนวน 18 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ประกอบด้วย กลุ่มราชภัฏ 14 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่,มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย,มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร,มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ,มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์,มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย,มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี,มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี,มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ,มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี,มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี,มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต,มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา,มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตามด้วยสถาบันอุดมศึกษาที่มีการผลิตและพัฒนาครูอีก 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี,มหาวิทยาลัยขอนแก่น ,มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

 

 

(โปรดกดถูกใจเพจ Edunewssiam ด้านล่างขวา เพื่อรับข่าวสารอัพเดตในฟีดข่าว)