ชวนรู้จัก “ธนาคารเวลา” สร้างสังคมไม่ทอดทิ้งกัน
เมื่อพูดถึงธนาคาร ส่วนใหญ่ มักจะนึกถึง สถาบันการเงินหรือแบงค์ ที่ชาวบ้านรู้จักกันดีถึงการให้บริการฝาก ถอน ดำเนินธุรกิจทั่วไปอยู่แล้ว
แต่พอพูดถึง ธนาคารเวลา นี่คงจะมีคำถามมากมายในทำนอง แล้วหน้าตามันเป็นยังไง จำเป็นต้องมีหรือเราจำเป็นต้องมีเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเราด้วยหรือ ทำนองนั้น
ธนาคารเวลา จึงเป็นแนวคิดที่มีความเป็นไปได้ ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ 7 ภาคีเครือข่าย จุดประกายแนวคิดจากต้นแบบต่างประเทศ นำมาพัฒนาปรับใช้รองรับ ด้วยการส่งเสริมให้คนในชุมชนนั้น ๆ หรือทั่วไปเข้ามาลงทะเบียนเป็นสมาชิกไว้ตั้งแต่ยังมีเรี่ยวแรงแข็งขัน ในทำนองจิตอาสาในการช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ โดยได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเวลาที่สะสมไว้
นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. บอกว่า เท่ากับทำให้เราเป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน และสมาชิกของธนาคารเวลาจะเป็นทั้งผู้ให้และเป็นผู้รับความช่วยเหลือในโอกาสต่อไปด้วย
ยิ่งในอนาคต ค่านิยมสังคมที่เปลี่ยนไป ผู้หญิงออกทำงานนอกบ้าน และคนส่วนใหญ่มีค่านิยมรักอิสระ ไม่อยากรับผิดชอบอะไรมากมาย และสภาพสังคมด้านต่าง ๆ ทำให้คนจะเป็นพ่อแม่นับเข้าสู่สูงวัย อาจรู้สึกไม่มั่นใจ
แต่ ธนาคารเวลา นี่แหละ จะเป็นพื้นที่สื่อกลางในการทำหน้าที่จัดสรรแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือระหว่างสมาชิกไปลงพื้นที่ดูแล ช่วยเหลือผู้สูงอายุในที่ต่าง ๆ แล้วจะมีการบันทึกจัดเก็บสะสมเวลา อาจจะเป็นชั่วโมง หรือเป็นจำนวนวัน ที่ลงไปทำจิตอาสาไว้อย่างเป็นระบบ ต่อไปตนเองสามารถเบิกเวลามาใช้ โดยให้สมาชิกรุ่นใหม่ ๆ หมุนเวียนกันมาดูแลเราบ้าง เมื่อเรามีอายุมากขึ้น
ยกตัวอย่างกิจกรรมดูแลผู้สูงอายุ เช่น ช่วยขับรถพาไปโรงพยาบาล พาไปซื้อของ ช่วยซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ซ่อมประปา ช่วยตัดต้นไม้ ช่วยทำความสะอาดบ้าน ช่วยดูแลสัตว์เลี้ยง ช่วยตัดผม แม้กระทั่งช่วยตัดเล็บ เพราะมีผู้สูงอายุบางคนที่ตัดเล็บเท้าตัวเองไม่ได้ เป็นต้น
ดังนั้น ทุกชั่วโมงของการทำงานอาสาสมัครช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่ว่าจะมีลักษณะกิจกรรมแบบไหนก็ตาม มีค่าที่เท่ากัน การช่วยเหลือของกิจกรรม 1 ชั่วโมง จะได้รับ 1 คะแนน (เครดิตเวลา) เก็บสะสมในรูปแบบบัญชีส่วนบุคคล เพื่อเบิกถอนเวลา ยามเราเป็นผู้สูงอายุหรือเมื่อต้องการความช่วยเหลือ
จึงเป็นที่มาของ “ธนาคารเวลา” นั่นเอง
คงเข้ากับ สำนวนสุภาษิต “น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า” ที่หมายถึง การที่ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกัน ต้องเห็นอกเห็นใจกัน จึงควรผูกไมตรีกันไว้
เนื้อหาที่บ่งบอกในสุภาษิตนี้ ช่างเข้ากับสถานการณ์ประเทศไทยได้เข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว อ้างอิงจากตัวเลขผู้สูงอายุ เกินร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมดของประเทศ
การที่ สสส.ได้จุดประกาย และมีภาคีเครือข่าย เห็นตรงกันว่า โครงสร้างประชากรในไทยเปลี่ยนไป เพราะเข้าสู่สังคมสูงวัยที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปโดยสมบูรณ์ ดูตัวเลขผู้สูงวัยในปี 2565 มีมากถึง 12,116,199 คน คิดเป็น 18.3% ของประชากรไทย ทั้งหมด จำแนกเป็น ชาย จำนวน 5,339,610 คน หญิง จำนวน 6,776,589 คน
ดังนั้น สิ่งที่หลายฝ่ายอดห่วงไม่ได้ คือ คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุบ้านเราเพิ่มขึ้น จะไปอย่างไรต่อ
“ลองคิดดูว่าตัวเรา มีครอบครัวไหม มีลูกไหม เงินมีพอไหม ชวนให้คิดว่าเราจะมีอายุอีกสักเท่าไหร่ที่จะเสียชีวิต เราจะอยู่อย่างไร เงินทองเราจะพอไหม ค่าใช้จ่ายทุกวันนี้ ต่อคน
นางปิติพร จันทรทัต ณ อยุธยา ผู้จัดการโครงการขับเคลื่อนและพัฒนารูปแบบการดำเนินงานธนาคารเวลาชุมชนรองรับสังคมสูงวัย ทิ้งข้อคิดให้เห็นว่า สมมุติเราใช้เดือนละ 5,000 บาท ปีนึง 60,000 บาท ถ้าเราอยู่อีก 20 ปี เราต้องมีเงิน 1,200,000 บาท เรามีไหม ถ้าเราไม่มี จะทำอย่างไร เราจะอยู่อย่างไร
หากธนาคารเวลาทำได้จริง ย่อมช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้คุณภาพ และความสุขขึ้นได้แน่นอน
สสส.กับ โครงการดี ๆ คิดดี แบบนี้ ต้องเชียร์ให้ทำ มีการพัฒนา สานต่อ ยิ่งถ้าได้แผ่ขยาย มีสมาชิกมาลงทะเบียน มีภาคีเครือข่ายให้เต็มทุกพื้นที่ โยงถึงกันเป็นใยแมงมุม รับรองว่าสังคมไทยน่ารัก น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าว edunewssiam ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/edunewssiamfanpage