“ปิยมหาราชรำลึก”

      แม้เวลาจะผ่านมาถึงวันนี้ วันที่  23  ตุลาคม 2565 เป็นเวลา 115 ปีแล้ว ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5  หรือพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช เสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต  เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ..2453 นำความเศร้าโศกอาลัยแก่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศครั้งใหญ่หลวง  เนื่องด้วยตลอดระยะเวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ตั้งแต่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน.. 2411โดยในขณะนั้น มีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา ดังนั้น จึงได้ทรงแต่งตั้งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จนกว่าพระองค์จะมีพระชนมพรรษครบ 20 พรรษา  จึงมีการจัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน .. 2416 โดยได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยในครั้งนี้ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

          คนไทยทุกคนทั่วประเทศต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นมิรู้ลืม พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ ที่เป็นที่เคารพรักยิ่งของราษฎร ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณมากมายแก่ราษฎรและชาติบ้านเมือง ได้พระราชทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า  จึงทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า “ สมเด็จพระปิยมหาราช พระพุทธเจ้าหลวง ” และนับแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทางราชการได้ประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม วันเสด็จสวรรคต เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า "วันปิยมหาราช" และกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ

          พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระราชสมภพเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2396 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฏ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสยามเทวมหามกุฏวิทยมหาราช(รัชกาลที่ 4) และสมเด็จพระเทพศิรินทราพระบรมราชินี

          เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต พระองค์ทรงสืบราชสันตติวงศ์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ขึ้นเป็นพระมหาษัตริย์รัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2411 และได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน  2411 ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

          ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุเป็นเวลา 15 วันแล้ว เมื่อมีพระชนมพรรษาครบ 20 พรรษา จึงมีการจัดพระราชพิธีบรมราชิภิเษกขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2416 ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการทรงปกครองแผ่นดินด้วยพระองค์เองเป็นต้นมา

          ตลอดระยะเวลา 42  ปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงครองศิริราชสมบัติ พระองค์ได้ทรงงานและปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อให้ราษฎรของพระองค์อยู่ดีมีสุข ทรงมีบทบาทในการพัฒนาประเทศหลายด้าน และทรงสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่ราชอาณาจักรสยามให้พัฒนาไปอย่างใหญ่หลวงในหลายด้าน

หนึ่งในพระกรณียกิจที่นับว่าสำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระองค์คือ พระองค์มีพระราชดำริให้มีการขุดคลองมากที่สุดยุคหนึ่ง โดยพระองค์ทรงส่งเสริมให้หน่วยราชการและเอกชนขุดคลองขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งขุดคลองใหม่และขุดลอกคลองเก่าด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า ทางน้ำเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญระหว่างกรุงเทพฯกับจังหวัดข้างเคียง ซึ่งเป็นแหล่งผลิตข้าวที่สำคัญ และเป็นเส้นทางลำเลียงข้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศ และทรงตระหนักด้วยว่า น้ำเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญต่อการเจริญงอกงามของสรรพชีวิต โดยเฉพาะในการขยายพื้นที่เพาะปลูก ทรงตระหนักว่าน้ำเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง คลองมีส่วนสำคัญในการเก็บกักน้ำไปพร้อมกับใช้เป็นเส้นทางคมนาคมและเป็นแหล่งระบายน้ำไปพร้อมกัน

          เพราะรัชสมัยของพระองค์นั้น ประเทศไทยได้มีการติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศมากขึ้น จึงมีการพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานอย่างจริงจัง เพื่อเพิ่มผลผลิตในการค้าขายข้าว โดยในปี พ..2413 ได้ประกาศใช้ “พระราชบัญญัติธรรมเนียมคลอง” ขึ้นเป็นการรักษาการคมนาคมทางคลองให้คงอยู่เพื่อการขนส่งสินค้า ต่อมาในปี พ..2420 มีการออกกฎข้อบังคับวางระเบียบในการขุดคลอง เรียกว่า “ประกาศขุดคลอง” โดยประกาศฉบับนี้จะพิจารณาถึงผู้ขอจองที่ดินว่ามีความสามารถจะทำประโยชน์กับพื้นที่ที่จับจองได้หรือไม่ จากนั้นจึงจะออกโฉนดจองให้ ใจความสำคัญของประกาศดังกล่าวอยู่ที่การให้ราษฎรผู้ประสงค์จะทำนาใช้ประโยชน์พื้นที่ริมคลองด้วย ประกาศขุดคลองนี้ได้นำมาใช้กับโครงการขุดคลองต่าง ๆ ที่อยู่ทางบริเวณฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา

          ในรัชสมัยของพระองค์ก็ได้มีการขุดคลองขึ้นหลายสาย เช่น คลองเปรมประชากร คลองนครเนื่องเขตร์ คลองประเวศบุรีรมย์ คลองอุดมชลจร คลองราชมนตรี คลองทวีวัฒนา คลองนราภิรมย์ คลองรังสติประยูรศักดิ์ คลองประปา และคลองแยกอีกหลายคลองด้วยกัน

          เช่นในปี 2420ขุดคลองเนื่องเขตร์  เพื่อรักษาทางสัญจรทางน้ำระหว่างกรุงเทพมหานครและเมืองฉะเชิงเทรา (แหล่งผลิตข้าวที่สำคัญของประเทศแห่งหนึ่ง) รวมทั้งการขุดคลองประเวศบุรีรัมย์ ซึ่งได้ขุดเสร็จในปี พ..2423 ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ได้มีการขุดคลองทวีวัฒนาและคลองนราภิรมย์ขึ้น คลองเหล่านี้จะอยู่ในบริเวณทุ่งราบลุ่มน้ำใหญ่ตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมในการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและการทำนามากกว่าบริเวณทุ่งราบตอนล่าง

          และนับแต่ปี พ..2430 ข้าวไทยเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศเป็นจำนวนมากและมีราคาสูงทำให้ที่ดินบริเวณริมคลองที่ใช้สำหรับทำนาซึ่งไม่อยู่ไกลจากกรุงเทพมหานครมีราคาสูง ที่ดินเหล่านี้จึงเป็นที่สนใจและมีผู้ต้องการมากทำให้มีเอกชนสนใจขอดำเนินการขุดคลอง พระองค์จึงมีพระบรมราชานุญาตให้เอกชนหรือบริษัทเป็นผู้เข้าไปดำเนินการขุดและซ่อมแซมคลองที่ขุดแล้ว ได้แก่ คลองพระพิมล คลองพระยาบันลือ พร้อมกันนี้ในรัชสมัยของพระองค์ เมื่อ พ.. 2445 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งกรมคลอง เพื่อให้รับผิดชอบการพัฒนางานด้านนี้ต่อไป

          เห็นได้ว่า การขุดคลองในรัชสมัยของพระองค์ สร้างความผาสุกให้กับราษฎรในด้านต่างๆ  ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ทรงทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้มั่งคั่งสมบูรณ์ วางรากฐานให้พสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุข ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจต่างๆ อันก่อให้เกิดคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ให้รอดพ้นจากวิกฤตการณ์ และสามารถธำรงเอกราชไว้ตราบจนทุกวันนี้

           พระราชกรณียกิจที่สำคัญต่อปวงชนชาวไทยและประเทศอันเกิดจากพระมหากรุณาธิคุณและนำมาซึ่งความพัฒนาแก่ประเทศไทยคือ “วันเลิกทาส”หลังจากที่ทรงมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาทาสไทยมาเป็นเวลาร่วม 30 ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ก็ทรงออกพระราชบัญญัติเลิกทาสมีชื่อว่า พระราชบัญญัติทาส ร.. 124 ในปี พ.. 2448 มีใจความสำคัญว่า วันที่ 1  เมษายน พ.. 2448 ให้บุคคลผู้เป็นลูกทาสในเรือนเบี้ยทุกคนเป็นไท ส่วนทาสประเภทอื่นทรงให้ลดค่าตัวเดือนละ 4 บาท นับตั้งแต่เดือนเมษายน พ.. 2448 เป็นต้นไป นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติป้องกันมิให้คนที่เป็นไทแล้วกลับไปเป็นทาสอีก และเมื่อทาสจะเปลี่ยนเจ้าเงินใหม่ ก็ห้ามมิให้ขึ้นค่าตัว

          ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้ร่วมใจกันรวบรวมเงินจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ถวายเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ที่ทุกวันนี้คนไทยทุกหมู่เหล่าต่างไปน้อมรำลึกสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณสักการบูชาพระบรมราชานุเสาวรีย์ที่ขานเรียกอย่างสามัญว่า “พระบรมรูปทรงม้า”กันทุกวี่วัน

          เนื่องในวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2565 เวียนมาบรรจบ   สำนักข่าวการศึกษาEdunewssiam.com ขอเชิญชวนพสกนิกรชาวไทยพร้อมใจกันถวายราชสักการะ น้อมรำลึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราช ด้วยความจงรักภักดี และตั้งจิตอธิษฐานร่วมหัวใจกันสมัครสมานสามัคคี ทำความดีให้แก่ตน แก่ครอบครัว แก่ชุมชนและชาติบ้านเมือง เพื่อเทิดพระเกียรติามัคคี สมมือนที่พระองค์ท่านทรงปกป้องประเทศชาติของเราให้พ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของต่างชาติ และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการพัฒนาประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ประชาชนคนไทยทั้งประเทศอยู่เย็นเป็นสุข โดยรวมพลัง กันพัฒนาประเทศชาติของเราให้มีความเจริญรุ่งเรืองตามรอยเบื้องพระยุคลบาทสืบไปถวายเป็นพระราชกุศล

          สำนักข่าวการศึกษาEdunewssiam.com