ศธ.แจงพระ-เณรไร้สัญชาติ เข้าเรียนเอกชนฟรี 15 ปี ใน

ระบบได้ แต่กรณีไม่มี รหัส G ขึ้นอยู่กับมหาดไทยพิจารณา

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. นายอรรถพล สังขวาสี ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)แจงกรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องการศึกษาของสามเณรไร้สัญชาติจำนวนมาก เนื่องจากประสบปัญหา ศธ.ไม่ออกรหัส G ให้ ทำให้เมื่อเรียนในโรงเรียนวัดที่บางส่วนได้พัฒนาเอาระบบเอกชนเข้าใช้ จึงกลายเป็นโรงเรียนเอกชนการกุศล ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐ ทั้งในแง่ของเงินอุดหนุนรายหัว และโอกาสทางการศึกษานั้น

ปลัดศธ.ขอชี้แจงว่า พระหรือเณรที่มีรหัสประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือรหัส G ที่ ศธ.ออกให้ ทั้งที่มีสัญชาติไทยและไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนในระบบได้เช่นเดียวกับฆราวาส โดยการพิจารณารับพระหรือเณรเข้าเรียนขึ้นอยู่กับระดับที่ได้รับอนุญาตให้เปิดสอนและระเบียบของแต่ละโรงเรียน  

โดยพระและเณรที่เรียนในโรงเรียนเอกชน จะได้รับเงินอุดหนุนรายบุคคลและเงินอุดหนุนเรียนฟรี 15 ปี จะต้องเรียนอยู่ในระดับอนุบาล-มัธยมปลาย และ เรียนอยู่ในโรงเรียนที่ขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐ คือ เก็บค่าธรรมเนียมการศึกษาไม่เกินอัตราที่ระเบียบกำหนด และมีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก มีหรือไม่มีสัญชาติไทยก็ได้ 

กรณีนักเรียนที่ไม่มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ศธ.จะออกรหัส G ให้กับนักเรียน และเข้าเรียนได้ตามระเบียบ ศธ.

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสช.ไม่ให้เงินอุดหนุนให้เด็กรหัส G เนื่องจากกระทรวงมหาดไทย ยังไม่มีการตรวจสอบและรับรองสถานะตัวตน หรือแหล่งที่อยู่ที่แน่นอนของนักเรียน ทำให้การตรวจติดตามเงินอุดหนุนทำได้ยาก และอาจมีการสวมสิทธิเบิกเงินอุดหนุน นายอรรถพลกล่าว 

ปลัด ศธ. กล่าวอีกด้วยว่า "สำหรับนักเรียนที่ใช้รหัส G สามารถติดต่อหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยในเขตพื้นที่ที่นักเรียนพักอาศัย เพื่อขอรหัสประจำตัวประชาชนได้ โดยจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของมหาดไทย และเมื่อได้รับรหัสเลข 13 หลักแล้ว สช.จะให้เงินอุดหนุนตามหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับเด็กทั่วไป  

ดังนั้น ในส่วนของโรงเรียนเอกชน ศธ.ไม่ได้ปิดกั้นพระเณรเข้าเรียน แต่ขึ้นกับระเบียบของแต่ละโรงเรียน กรณีไม่มีสัญชาติไทย ศธ.จะออกรหัส G ให้ และเข้าเรียนได้ตามปกติ และเมื่อติดต่อหน่วยงานปกครองและได้รับรหัส 13 หลักแล้ว สช.จะให้เงินอุดหนุนเช่นเดียวกับเด็กไทย" 

กรณีที่มาการชี้แจงของกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งนี้ เหตุเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2566 นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้กล่าวพาดพิงถึง สังคมไทยเปลี่ยนแปลงจากอดีต โดยสมัยก่อนคนอยากอ่านออกเขียนได้ ต้องบวชเรียนโดยมีวัดเป็นแหล่งเรียนรู้  

ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ให้วัดพัฒนาสอนคนภายนอกด้วย เราจึงเกิดโรงเรียนวัดเกิดขึ้นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามต่อมาการเรียนของสงฆ์ถูกกันออก โดยพระเณรต้องไปเรียนทางธรรม ไม่ให้เรียนทางโลก

แม้ขณะที่กรมศาสนายังสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ การเรียนของพระเณรกลับไม่ถือว่าอยู่ในระบบการศึกษาปกติ ทำให้คนบวชน้อยลงและหันไปเรียนหนังสือในระบบปกติมากขึ้น แต่มีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะผู้ที่ยากไร้และด้อยโอกาส ยังคงใช้ช่องนี้ในการดำรงชีวิตและเรียนหนังสือ โดยพวกเขาคาดหวังว่าจะได้เล่าเรียนเหมือนคนอื่น แต่ปรากฏว่ากระทรวงศึกษาธิการ กลับไม่ยอมรับ 

ขณะที่โรงเรียนวัดบางส่วน ก็ได้พัฒนาเอาระบบเอกชนเข้าใช้ กลายเป็นโรงเรียนเอกชนการกุศลโดยมีวัดสนับสนุนรายได้ แต่แทนที่รัฐจะสนับสนุนกลับไม่ดำเนินการช่วยเหลือ ทำให้โรงเรียนเหล่านี้ไม่สามารถเก็บค่าเล่าเรียนได้และรัฐก็ไม่สนับสนุนงบประมาณ  

“แม้การศึกษาปกติมีระเบียบออกรหัส G เพื่อสนับสนุนเด็กที่ไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎรได้เรียนหนังสือ แต่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน(สช.) ระบุว่าไม่ให้กับเด็กที่ไม่มีเลข 13 หลักซึ่งขัดกับกฎหมาย ทำให้พระและสามเณรต้องลำบาก ยังไปออกเป็นระเบียบไว้เลย กลายเป็นปัญหาของสังคมไทย คือ วัดเป็นแหล่งให้ความรู้มาโดยตลอด และควรได้รับการสนับสนุน แต่วันนี้กลับไม่ได้รับการส่งเสริมเลย” นายสุรพงษ์ กล่าว 

“สังคมไทยมีศาสนาพุทธเป็นหลัก แต่เรากลับไม่ยอมให้พระสงฆ์และสามเณรได้เข้าสิทธิด้านการศึกษาเหมือนคนปกติ ขนาดพระขึ้นรถโดยสาร เรายังไม่เก็บค่าโดยสารเลย แต่ทำไมพอเป็นเรื่องเรียนกลับไม่สนับสนุนให้พวกท่านได้เรียน“

ทำไมถึงต้องไปตัดสิทธิของพวกท่าน แทนที่จะเอื้อมากกว่าคนปกติ หรือกรณีที่ท่านมีสถานศึกษาอยู่แล้วก็ควรเทียบวุฒิในระบบได้ ใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติต้องการให้ทุกคนได้เรียนหนังสือ แต่กลับจำกัดสิทธิพระเณร ถือว่าเป็นการสร้างบาปยิ่ง  นายสุรพงษ์ กล่าวตบท้าย.

#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าว edunewssiam  ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/edunewssiamfanpage