“นั่งไม่ติด” ผู้รับเหมายกเข่งเทอาชีวะ ทั้งเลขาฯและคณะกก.สอบสวนวินัย ผอ.วิทยาลัยเทคนิค รีดเงิน ชงเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย โทษแค่กล่าวตักเตือน คืนตำแหน่งเดิม

 

“นั่งไม่ติด” ผู้รับเหมายกเข่งเทอาชีวะ ทั้งเลขาฯและคณะกก.สอบสวนวินัย ผอ.วิทยาลัยเทคนิค รีดเงิน ชงเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย โทษแค่กล่าวตักเตือน คืนตำแหน่งเดิม

 

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 67 นางประภัสสร ม่วงทิพย์ ปรับปรุงอาคารโรงอาหารของวิทยาลัยเทคนิคธัญบุรี สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ นำหนังสือพร้อมหลักฐานเอกสาร คลิปการจับกุม คลิปเสียง เข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน โดยนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับเรื่องไว้ เพื่อให้ตั้งกรรมการสอบวินัยกับผู้สนับสนุนให้ นายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ กลับรับราชการอีกครั้ง หลังศาลรับฟ้อง 



คดีเกิดตั้งแต่ ปี 2565 ซึ่งปัจจุบันทางอัยการคดีปราบปรามทุจริตภาค 1 สั่งฟ้องต่อศาลอาญาปราบปรามทุจริตภาค 1 ศาลได้รับฟ้อง ตกเป็นจำเลยไปเรียบร้อยแล้ว

 

แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการกรรมการการอาชีวศึกษา ได้สั่งให้ นายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ ผอ.วิทยาลัยเทคนิคธัญบุรี กลับรับราชการอีกครั้ง  โดยอ้างเหตุผลว่า เป็นความผิดวินัยไม่ร้ายแรง และคำสั่งให้พักราชการที่ นายธนุ วงษ์จินดา อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สั่งพักราชการไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ชอบด้วยระเบียบกฎหมาย

 

 

จึงกลายเป็นประเด็นที่ร้อนฉ่าในแวดวงการศึกษา ที่ต้องตามติดเรื่องราวอื้อฉาวอย่างต่อเนื่อง  เมื่อนางสาวประภัสสร ม่วงทิพย์ ผู้รับเหมาโครงการปรับปรุงโรงอาหารในวิทยาลัย ร้องกับทาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และ แจ้งความกับตำรวจไว้เป็นหลักฐาน ถูกผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคอาชีวะฯ แห่งหนึ่งย่านปทุมธานี เรียกรับเงินสินบนแลกกับการได้งานก่อนจะมีการนัดให้ไปพบ กับ ผอ.คนดังกล่าว 

 

 

โดยมีหลักฐานในกล้องวงจรปิดได้บันทึกชัดเจน เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 เป็นภาพเหตุการณ์ขณะเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เขต 1 และตำรวจภูธรธัญบุรี แสดงตัวเข้าจับกุมผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษา แห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี จนสามารถนำไปสู่การส่งเรื่องให้สอบสวนความผิดทางวินัยและอาญาในเวลาต่อมา 

 

ในรายงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. เขต 1 ระบุว่า ผู้อำนวยการรายนี้ เรียกรับเงินสินบนจำนวน 4 หมื่นบาท จากนางสาวประภัสสร ม่วงทิพย์ ผู้รับเหมาโครงการปรับปรุงโรงอาหารในวิทยาลัย เพื่อแลกกับการจ่ายเช็กค่าก่อสร้างที่มีมูลค่ากว่า 5 แสนบาท

 

นางสาวประภัสสร ยอมจ่ายเงินส่วนหนึ่ง แต่ก็ได้ตัดสินใจร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ ปปท. เพื่อรวบรวมหลักฐาน การบันทึกเสียงต่อรองจำนวนเงิน จนสามารถจับกุมผู้อำนวยการรายนี้ได้ในทีสุด

 

หลังการจับกุม ป.ป.ท. ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ปปช. ดำเนินการ 2 แนวทาง คือ ส่งเรื่องให้คณะกรรมการการอาชีวศึกษาตั้งกรรมการสอบสวนวินัย แต่ในส่วนคดีอาญาส่งกลับให้ตำรวจภูธรธัญบุรีดำเนินคดี


และที่ผ่านมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีปราบปรามทุจริต 1 ภาค 1 ได้ยื่นฟ้อง นายเพชรโยธิน ราษฎร์เจริญ ต่อศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ในฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนและเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริตตามมาตรา 149 และ 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ได้รับฟ้องไว้แล้ว 
ปรากฎตามหนังสือสำนักงานอัยการคดีพิเศษฝ่ายปราบปรามทุจริต ภาค ที่ตอบตามหนังสือของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้สอบถามขอทราบผลคดีไป 

 

จึงเป็นที่สงสัยว่าเหตุใด นายยศพล เวณุโกเศศ ไม่ออกคำสั่งให้ผู้ที่ตกเป็นจำเลยในคดีอาญาฐานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ พักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนจนกว่าคดีจะสิ้นสุด  โดยปกติทั่วไปเมื่อเจ้าหน้าที่ภาครัฐเมื่อตกเป็นจำเลยทางศาล จะถูกพักราชการไว้ก่อน หรืออาชีวะมีระเบียบไว้เป็นอย่างอื่น  

 

ก่อนหน้านี้ นางปภัสสร ม่วงทิพย์ ได้คัดค้านผลการสอบสวนของกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ที่สรุปว่า เงินที่เจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ตำรวจ เข้าจับกุมนั้นเป็นเงินบริจาค ไม่ใช่เป็นเงินเรียกรับสินบนจากตน  ซึ่งทาง อ.ก.ค.ศ.อาชีวศึกษา

 

และ ก.ค.ศ.ได้พิจารณาและลงมติว่า เป็นการกระทำที่ไม่เป็นความผิดวินัยร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา ถือเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยให้ลงโทษแค่ว่ากล่าวตักเตือน จึงยิ่งทำให้สงสัยในกระบวนการสอบสวนในครั้งนี้ว่ามีการวิ่งเต้นช่วยเหลือกัน การดำเนินการโปร่งใสหรือไม่อย่างไร 

 

คดีนี้นางประภัสสร ได้ยืนยัน กับพนักงานสอบสวน อัยการปราบปรามการทุจริต ป.ป.ท. ป.ป.ช. และสื่อมวลชนมาตลอด ว่าเป็นการเรียกรับสินบน ตนเองไม่ได้บริจาคเงิน แต่เหตุใดกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงของทางอาชีวะ จึงสรุปรายงานการสอบสวนออกมาเช่นนั้น 

 


การสอบสวนไม่ได้ดูสำนวนการจับกุม หรือเชิญเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ตำรวจที่จับกุมมาให้ข้อมูลแม้แต่คนเดียว เอาแต่ส่วนพวกตนมารับฟัง จึงทำให้พยานหลักฐานไม่คลอบคลุมรอบด้าน ขนาดชุดจับกุม เคยบอกว่า หากพวกตนทำผิดมีเจตนาไม่ดี เข้าข้าง ไม่มีข้อมูลเหตุผลเสนอยุบหน่วยงานไปเลย


การจับกุมของ ปปท.ก็ปฎิบัติหน้าที่ชอบด้วยระเบียบกฎหมาย ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินได้วินิจฉัยตอบมาแล้ว หลังจากที่นายเพชรโยธิน ราษฎ์เจริญ ได้ร้องเรียนกล่าวหา ปปท.ว่าการจับกุมของปปท. นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ไม่แน่ใจว่ากรรมการสอบสวนวินัย ได้ไปเอาหลักฐานมาจากไหน จึงสรุปรายงานการสอบสวนออกมาไม่ผิด แค่ให้ตักเตือนแบบนี้  เขาจับสด หลักฐานชัด หรือว่ามีเหตุผลใดกันแน่

 

 

นางประภัสสร กล่าวว่า ตนในฐานะผู้ร้องเป็นประชาชนธรรมดาที่ไม่มีอำนาจอะไร ที่จะมาต่อสู้กับผู้ที่มีตำแหน่ง มีอำนาจรัฐอยู่ในมือได้ นอกจากร้องขอความเป็นธรรมจากองค์กรอิสระ และจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไป

 

อีกทั้งต้องมาร้องต่อนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการคุรุสภา เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบกรณีดังกล่าว ให้เกิดความยุติธรรมต่อตนเอง ทั้งได้ยื่นร้องสำนักงานคุรุสภา เพื่อเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและผู้บริหารด้วย

 

ตนต้องการรักษาไว้ซึ่งหลักธรรมาภิบาล ของ องค์กร คือ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ   ซึ่งถือว่าเป็นกระทรวงที่สำคัญยิ่งต่ออนาคตประเทศชาติ เป็นแม่พิมพ์ในการสอนเด็กและเยาวชน ให้มีความรู้มีคุณธรรมจริยธรรม  เป็นสำคัญ


เมื่อคนสอน ประพฤติตนอันไม่เหมาะสม แล้วจะไปสอนใครได้ ยิ่งขณะนี้เลขาอาชีวะบอกสื่อเองมิใช่หรือ นักเรียนลดลงอย่างน่าตกใจ 


ยกตัวอย่างให้ฟังอีกด้วยว่า ...ปัจจุบันมีผู้สมัครเข้าเรียนแค่ 40% ปีการศึกษา 2567 ตั้งเป้ารับ ที่ 2.8 แสนคน แต่ตอนนี้ยอดผู้เรียนมาสมัครจริงแค่ 90000 คน รวมสถานศึกษาทั้งรัฐและเอกชนกว่า 900 แห่ง บอกยังมีเวลาให้วิทยาลัยต่างๆเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อการรับนักศึกษาเพิ่มรับเพิ่ม 

 

ถ้าอาชีวะไปช่วยเหลือคนผิดให้ไม่ต้องรับโทษ ต่อไปเขาอาจสร้างไปอิทธิพล ไม่ให้ถูกลงโทษทางวินัย ละเว้นไม่รักษากฎหมาย ระเบียบในการบริหารงานบุคคล ทำให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรงเสมือนส่งเสริมสนับสนุนให้ข้าราชการทุจริตและประพฤติมิชอบมีอำนาจและตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ 


ส่งผลต่อภาพลักษณ์และนโยบายในการปราบปรามทุจริตของกระทรวงศึกษาธิการเอง สร้างบรรทัดฐานใหม่ เดี๋ยวจะมีองค์กรอื่นเอาแบบอย่างคอยดู

 

ด้านนายเศรษฐศิษฏ์ ณุวงค์ศรี ประธานเครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษา (ค.ร.อ.ท.) ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนได้ติดตามการสอบสวนและการดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้นตามที่สื่อต่าง ๆ เสนอข่าว ตั้งแต่ ปปท.และ ตำรวจเข้าจับกุมจนมาถึงวันนี้ ซึ่งอัยการปราบปรามทุจริตภาค 1 ได้มีคำสั่งฟ้องต่อศาลคดีทุจริตและศาลได้รับฟ้องจนตกเป็นจำเลยในคดีทุจริต และได้มีหนังสือแจ้งมาที่สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาแล้ว 

 

ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา แต่ตนไม่แน่ใจว่าทาง กรรมการสอบสวนวินัย กรรมการ อ.ก.ค.ศ. กรรมการ ก.ค.ศ. หรือเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้รับทราบหนังสือฉบับนี้หรือไม่ 

 

คดีดังกล่าวนี้จึงสร้างความสั่นสะเทือน กระทบความเชื่อมั่นต่อระบบธรรมาภิบาล ความโปร่งใสในสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทำให้หลายๆคนมองดูว่าการบริหารจัดการงานบุคคล งานวินัย งานคดีความต่างๆ ในหน่วยงานแห่งนี้มีความเป็นมาตรฐานขนาดไหน ดำเนินการตามหลักธรรมาภิบาล โปร่งใสหรือไม่ ทางเครือข่ายอาชีวะได้ยินข่าวในลักษณะนี้มาตลอด แต่ไม่มีคำตอบให้ภาคประชาชน หรือแม้แต่ ปปท. ปปช.

 

ในกรณีนี้เหตุใดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จึงไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎของ กคศ. ที่ว่าเมื่อข้าราชการถูกฟ้องในคดีอาญาในฐานความผิด ทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่แล้ว ผู้บังคับบัญชาต้องสั่งพักหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน จนกว่าคดีจะสิ้นสุด เหมือนกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้สั่งให้รองผบ.ตร.ท่านหนึ่งออกจากราชการไว้ก่อน

 

ทั้งที่ศาลยังไม่ได้รับฟ้อง ถ้าเป็นการปกป้องคนที่ผิดเพียงคนเดียว ทำให้บุคคลอื่นต้องเดือดร้อน และภาพลักษณ์องค์กรฟังพินาศไม่คุ้มกันถือว่าเสียหายมาก

 

 

นายเศรษฐศิษฎ์ กล่าวต่อไปว่า หากพิจารณาตามกฏระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือกฎ ก.ค.ศ.ว่าด้วยการให้พักและออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. 2555 ข้อที่ 3(1) หากข้าราชการถูกฟ้องในคดีอาญาฐานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ผู้บังคับบัญชาต้องดำเนินการออกคำสั่งให้เป็นไปตามกฎ ก.ค.ศ.ในข้อนี้

 

ดังนั้นตนในฐานะประธานเครือข่ายคนรักษ์อาชีวศึกษาแห่งประเทศไทย (ค.ร.อ.ท.) ซึ่งเป็นภาคประชาชนจะติดตามข้อสั่งการของท่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และคุรุสภา 

 

ในการตรวจสอบว่าการดำเนินการของ เลขาธิการ คณะกรรมการการอาชีวศึกษา รวมถึงการปฎิบัติหน้าที่ของกรรมการสอบสวนวินัย อ.ก.ค.ศ. และ ก.ค.ศ. รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องว่าได้ดำเนินการด้วยความสุจริต โปร่งใส มีความเป็นธรรม ชอบด้วยระเบียบกฎหมายหรือไม่ เพราะคดีดังกล่าวอยู่ในความสนใจของประชาชนทั้งประเทศที่คอยติดตามว่าผลของคดีจะจบลงอย่างไร  หากยังไม่มีความคืบหน้าก็จะยื่นเรื่องต่อองค์กรอิสระหรือสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตรวจสอบต่อไป

 

#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าว edunewssiam ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/edunewssiamfanpage