กรณีปิดศูนย์การเรียนเด็กข้ามชาติ 

มิตตาเย๊ะ บางกุ้ง ไม่ควรเห็นเป็นเรื่องเล็ก

วิชชา เพชรเกษม : edunewssiam 

เนื่องจากเรื่องราวของกรณีที่ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สั่งการให้มีการตรวจเข้มศูนย์การเรียนที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้กับ ศธ. หลังจากมีคลิปเด็กนักเรียนเคลื่อนย้ายจากประเทศพม่าร้องเพลงชาติพม่าชัดเจนกว่าเพลงชาติไทย

ได้กลายเป็นกระแสที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง และได้มีการปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ไปเรียบร้อยแล้ว

ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่า ศธ.จะปิดศูนย์การเรียนอีกหลายแห่ง ที่ จ.ตาก และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง

ทำให้ในวันเดียวกันนั้น ศูนย์การเรียน 63 แห่งบริเวณชายแดน 4 อำเภอ จ.ตาก ต่างปิดตัวชั่วคราว เนื่องจากหวั่นเกรงว่าผู้ที่ทำหน้าที่ครูจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นชาวพม่าจะถูกจับและถูกดำเนินคดี

ส่งผลให้เด็กนักเรียนจากฝั่งพม่า 18,000 คนที่เข้ามาเรียนในฝั่งไทยต้องหยุดเรียนทั้งหมด

❝...Edunewssiam จึงขอเก็บตกบางส่วน จากสำนักข่าว The Reporters ที่ได้จัดเสวนา

ออนไลน์ หัวข้อการปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ บางกุ้ง ของกลุ่มเด็กลูกแรงงานข้ามชาติ  ที่ จ.สุราษฎร์ธานี มาสรุปให้เห็น ว่า เรื่องนี้ไม่ควรเห็นเป็นเรื่องเล็ก❞  

นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กล่าวว่า...กรณีสั่งปิดศูนย์การเรียนมิตตาเย๊ะ จ.สุราษฎร์ธานี กสม. ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงว่าจะกระทบกับศูนย์การเรียนที่มีอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเด็กเหล่านี้ เป็นลูกหลานแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ซึ่งควรต้องดูแลทั้งด้านความปลอดภัยและการศึกษา

เพราะหากปิดศูนย์ฯ เด็กต้องอยู่ในที่พักตามลำพังอาจเสี่ยงกับความปลอดภัย ไทยได้ลงนามอนุสัญญาสิทธิเด็กให้เด็กได้เรียน และข้อกฎหมายของไทยให้เด็กทุกชาติที่มาอยู่ในประเทศได้เรียนคำนึงถึงประโยชน์ของเด็กสูงสุด

ซึ่งการที่ปิดศูนย์การเรียนโดยไม่ได้จัดหาสถานที่รองรับ เด็กยังไม่มีที่เรียนอีกจำนวนมาก กสม.คิดว่าอาจส่งผลกระทบและละเมิดสิทธิเด็ก กสม.ยินดีจะเป็นตัวกลางในการสร้างการพูดคุยแลกเปลี่ยน ทั้งขึ้นทะเบียน สำรวจจำนวนเด็กนักเรียน โดยศูนย์การเรียนที่ จ.สุราษฎร์ธานี แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของรัฐไทยในการจัดการศึกษา

เนื่องจากผู้ปกครองหาครูและรวบรวมเงินบริจาคจ้างครูพม่ากันเอง

ดังนั้น หากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) จะปิดทุกศูนย์การเรียนจะสามารถรองรับเด็กลูกหลานแรงงานเพื่อนบ้านทั้งหมดได้หรือไม่

นายสมพงศ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) กล่าวว่า... ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอพยพแรงงานจาก 3 ประเทศคือ เวียดนาม กัมพูชา และพม่า อยู่ร่วมกันมากว่า 30 ปี

เราได้ประโยชน์จากกลุ่มประชากรข้ามชาติสร้างเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมที่แรงงานคนไทยไม่ทำ ซึ่งไม่นานมานี้มีการหลั่งไหลของชาวเมียนมาเข้ามาไทยสูงมาก เด็กที่มาใหม่คือเด็กที่เกิดในเมืองไทย มีใบเกิดกลับไปประเทศต้นทางเพื่อให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงดู พอเกิดเหตุสงครามเขากลับมา

“เด็กที่เข้ามาช่วงปิดเทอม ผู้ประกอบการบางแห่งไม่ให้เด็กอยู่ การอยู่ในตึกไม่มีความปลอดภัย เขาจึงแสวงหาที่ปลอดภัย และศูนย์การเรียน learning center จึงน่าจะเป็นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก

แต่เมื่อเกิดปัญหาที่ จ.สุราษฎร์ธานี ผมคิดว่าน่าจะเป็นบทเรียนครั้งที่ 2-3 มาตรการของภาครัฐถูกทางหรือยัง เป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ตามกลไกคุ้มครองเด็กที่เราให้สัญญากับนานาประเทศหรือเปล่า...”

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ กระแสดราม่าในโซเชียล เพราะเพจบางกลุ่มไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วเราต้องตั้งสติ ภาครัฐต้องมีมาตรการคุ้มครองเด็ก

ขณะที่ นายวีระ อยู่รัมย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเรียนไร่ส้มวิทยา อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงกระแสในโซเชียลจากคลิปร้องเพลงชาติพม่าว่า ตนมองเป็นความหลากหลายทางวัฒนธรรม ซึ่งหากมองในความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง รัฐมีหน้าที่ดูแล เราพัฒนาศักยภาพในการพัฒนาประเทศ ความหลากหลาย

เราจะมองแค่ปรากฏการณ์ TikTok ไม่กี่นาที แต่มาทำลายความหลากหลาย ซึ่งจะรักษาความหลากหลายให้มีความกลมกลืนทางวัฒนธรรมได้อย่างไร

“การปิดศูนย์ฯ ถามว่าใช้กฎหมายอะไรปิด เขาทำอะไรผิด พรบ.การศึกษาในประเทศไทยเปิดกว้างมาก แต่ในพื้นที่เกิดอะไรขึ้น นโยบายดีแต่พื้นที่มีปัญหา การปิดศูนย์การเรียนที่ จ.สุราษฎร์ธานี มีเด็กพันกว่าคน

ถามว่ารัฐจะรับไหวหรือ ทางปฏิบัติเองยังไม่เข้าใจตรงกันเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐจะจัดการในพื้นที่ได้

ผอ.ศูนย์การเรียนไร่ส้ม ย้ำด้วยว่า เชื่อว่าการศึกษาเป็นการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ มนุษย์ต้องมีการพัฒนา ยกระดับคุณภาพชีวิต เมื่อเขาได้รับการศึกษาจะรู้ว่าวัฒนธรรมของไทยเป็นอย่างไร ต้องเอาการศึกษาของไทยพัฒนาให้เด็กมีคุณภาพ ควรพูดถึงการศึกษาของไทยในแง่บวกมากกว่าจะมาด้อยค่าแรงงาน

ขณะที่! Suthichai Live 18.00 น. สื่อชื่อดัง มีโพสต์ว่า หลายฝ่ายออกมาทักท้วงที่กระทรวงศึกษาธิการ ไปปิดศูนย์การเรียนสำหรับเด็กข้ามชาติ (ส่วนใหญ่พม่า) ที่สุราษฎร์ธานีและอาจลามไปอีกหลายจังหวัด…มีผลกระทบต่อนโยบายด้านความมั่นคง, ต่างประเทศและจุดยืนของไทยในนานาชาติไม่น้อย

นายกแพทองธาร ไม่ควรเห็นเป็นเรื่องเล็ก เพราะการทำงานของทางราชการเป็นแบบ ‘ตัวใครตัวมัน’ ไม่สนใจผลกระทบต่อภาพพจน์รวมของประเทศ