เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2560 นายสานิตย์ พลศรี นายกสมาคมครูชนบทจังหวัดชัยภูมิ อดีตประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดชัยภูมิ ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวสยามเอ็ดดูนิวส์” เกี่ยวกับคดีมีกลุ่มบุคคล และบริษัทเอกชนหลอกลวงสหกรณ์ออมทรัพย์ครูในหลายจังหวัดให้ร่วมลงทุนโควตาลอตเตอรี่ มูลค่าความเสียหายรวมหลายพันล้านบาทว่า คดีการหลอกลวงสหกรณ์ออมทรัพย์ครูในหลายจังหวัดให้ร่วมลงทุนโควตาลอตเตอรี่ ซึ่งไม่มีจริงนั้น

ตนเป็นคนหนึ่งที่ออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ และมีการแจ้งความดำเนินคดีไว้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพราะสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดชัยภูมิได้รับความเสียหายจากการถูกหลอกลวงด้วย โดยมีการหลอกลวงให้ร่วมลงทุนเป็นเงินกว่า 295 ล้านบาท เมื่อช่วงปี พ.ศ.2553 ซึ่งมีกลุ่มบุคคลและบริษัทเอกชนหลอกลวงว่า ได้โควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล และจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนสหกรณ์เป็นเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งให้สมาชิกของสหกรณ์ได้สิทธิ์นำลอตเตอรี่ราคาถูกคือฉบับละ 72.80 บาท ไปจำหน่ายหากำไร

“แต่จากการสอบถามไปยังสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลทราบว่า มีการยื่นขอโควตาลอตเตอรี่จริง แต่ไม่ได้รับโควตาแต่อย่างใด”

อดีตประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดชัยภูมิ กล่าวต่อว่า จากข้อมูลของดีเอสไอพบว่า เมื่อช่วงปี พ.ศ.2553-2554 มีสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 13 จังหวัด รวม 20 สัญญา ถูกหลอกลวงให้ร่วมลงทุนโควตาลอตเตอรี่ ซึ่งไม่มีจริง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 7,556 ล้านบาท

โดยในส่วนของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดชัยภูมิ ได้แจ้งความและฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งแพ่งและอาญา ซึ่งที่ผ่านมาคดีแพ่งนั้น ศาลได้ตัดสินให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดชัยภูมิ เป็นเงินลงทุนกว่า 295 ล้านบาท บวกดอกเบี้ยประมาณ 40 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นกว่า 300 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีการขออายัดทรัพย์สินจำเลยไว้แล้วกว่า 172 ล้านบาท

“อย่างไรก็ตาม กรณีการหลอกลวงโควตาลอตเตอรี่ให้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดต่างๆ ร่วมลงทุนจนสูญเงินไปหลายพันล้านบาทในครั้งนั้น มีอดีตนักการเมืองพรรคใหญ่อยู่เบื้องหลังด้วย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมถูกปลดจากตำแหน่งประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดชัยภูมิ เพราะไม่ยอมยุติการเปิดโปงและเอาผิดเรื่องนี้ ซึ่งผมได้ยื่นฟ้องศาลปกครองว่าถูกปลดโดยมิชอบ และศาลได้ตัดสินให้ผมชนะคดี แต่จำเลยอุทธรณ์ รวมทั้งผมยังได้ร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาด้วย” นายสานิตย์กล่าว