เมื่อเร็วๆ นี้ ที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สุขุมวิท 22 กทม. เขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือ ซอฟต์แวร์ ปาร์ค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม จัดเวทีนำเสนอผลงานในโครงการ “เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี ประจำปี 2559”
เพื่อสร้างผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีรุ่นใหม่ โดยการต่อยอดความคิดให้กับผลงานที่มีความพร้อม มีแนวทางความเป็นไปได้ทางการตลาด เพื่อผลักดันสู่ธุรกิจด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่จับต้องได้ และเป็นรูปธรรม
โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมฟังการนำเสนอผลงานเป็นจำนวนมาก
นายเฉลิมพล ตู้จินดา ผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย หรือ ซอฟต์แวร์ ปาร์ค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เปิดเผยว่า การจัดงานครั้งนี้ เป็นการแสดงผลงานเทคโนโลยีและแผนธุรกิจของผู้เข้าร่วมโครงการฯ
โดยนำความรู้ที่เป็นหัวใจของการทำธุรกิจและประสบการณ์ที่ได้จากการร่วมกิจกรรมในโครงการ ผ่านกระบวนการบ่มเพาะธุรกิจ โดยศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ สวทช. ตั้งแต่เรื่องการจัดตั้งธุรกิจ การเขียนแผน การเจรจาต่อรอง จนถึงการออกไปปฏิบัติจริง มาปรับใช้กับผลงาน
และกลับมานำเสนอให้กับนักลงทุนผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ผู้ประกอบการ ผู้ทรงอิทธิพลด้านออนไลน์จากหลากหลายกลุ่มธุรกิจ รวมถึงนักลงทุนภาคอุตสาหกรรม และนักลงทุน ซึ่งล้วนแต่มีประสบการณ์ ความรอบรู้ ที่ต้องการแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีโอกาสเติบโต มาร่วมลงทุนและต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ หรือนำไปขยายตลาดต่อ ทั้งในและต่างประเทศ
“ทั้งนี้ ตลอด 3 ปีที่จัดโครงการฯ มีถึง 15 ผลงาน ที่ก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจตัวจริง เกิดการจัดตั้งเป็นธุรกิจเทคโนโลยี เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ และมีอีกกว่า 50 ผลงานที่กำลังพัฒนา และเตรียมพร้อมสู่ตลาดและการจัดตั้งธุรกิจต่อไป” นายเฉลิมพลกล่าว
ด้าน นายเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) หรือ SAMART กล่าวว่า กลุ่มบริษัท สามารถฯได้ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จัดงาน “เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี” มาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน
โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการจัดงานเถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี พบนักลงทุน (Business Matching) ครั้งนี้เกิดการพบปะ เพื่อเจรจาต่อรองทางธุรกิจระหว่างนักลงทุนกับเจ้าของผลงานที่ผ่านเข้ารอบ และมีความพร้อมในเชิงพาณิชย์จากโครงการเถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี
ซึ่งนอกจากเจ้าของผลงานจะได้พบปะกับนักลงทุนโดยตรง เพื่อโอกาสต่อยอดในเชิงพาณิชย์แล้ว นักลงทุนยังมีโอกาสได้พิจารณาผลงานที่มีศักยภาพเพื่อนำไปต่อยอดทางธุรกิจของตน โดยไม่จำเป็นต้องซื้อเทคโนโลยีจากต่างประเทศที่มีราคาแพงกว่า
เป็นการสร้างโอกาสให้กับประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในภูมิภาคมากขึ้น ด้วยการสร้างผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ ตามนโยบายภาครัฐที่กําหนดให้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
“โครงการเถ้าแก่น้อยเทคโนยี” เป็นกิจกรรมที่สานต่อความมุ่งมั่นของกลุ่มสามารถที่ต้องการให้โครงการ SAMART Innovation Award ที่ก่อตั้งมานานถึง 14 ปี ได้มีส่วนในการสร้างและผลักดันให้เกิดนักพัฒนาด้านเทคโนโลยีตัวจริง โดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อผูกมัดใดๆ จากบริษัทฯ
โดยผู้ชนะเลิศสุดยอดนักคิดนักพัฒนานวัตกรรมต้นแบบ หรือรางวัล Samart Innovation Award 2016 จะได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัล 100,000 บาท และเงินรางวัล 50,000 บาท สำหรับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2
“นอกจากนี้ 3 อันดับแรก ยังได้รับรางวัลศึกษาดูงานต่างประเทศ และรางวัลลำดับที่ 4-25 จะได้รับทุน (Business Startup Funds) ทุนละ 20,000 บาท รวมมูลค่ารวมทั้งโครงการฯ กว่า 1,000,000 บาท เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิด เถ้าแก่น้อยเทคโนโลยี ตัวจริงต่อไป” นายเจริญรัฐระบุ
ทั้งนี้ทั้งนั้น มี 10 ผลงานที่เข้าร่วมนำเสนอต่อนักลงทุนครั้งนี้ คัดเลือกจากผลงานที่พร้อมที่สุด ทั้งแนวคิดธุรกิจที่ชัดเจน และมีศักยภาพสูงพร้อมต่อยอดทางธุรกิจได้ทันที แบ่งเป็น 4 ประเภทเทคโนโลยี
ได้แก่ ประเภทเทคโนโลยีเพื่อการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม มี 1 ทีม คือ Beernova วัสดุแทนไม้คุณภาพสูงจากกากเบียร์, ประเภทเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพและผู้สูงอายุ มี 3 ทีม ประกอบด้วย 1.อะพาร่า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสกัดจากเซรั่มน้ำยางพารา 2.Zzzleepillow นวัตกรรมหมอนที่ช่วยแก้ปัญหาการนอนไม่หลับ และ 3.FitMeUp แอพพลิเคชันช่วยแนะนำการออกกำลังกาย
ประเภทเทคโนโลยีเพื่อการพาณิชย์และการขนส่ง มี 3 ทีม ประกอบด้วย 1.Handy Wings ระบบบริหารจัดการงานซ่อมแซมที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร 2.HOPS แอพพลิเคชันช่วยประชาสัมพันธ์ข้อมูลการตลาด และ 3.Jord Sabuy บริการที่จอดรถ
และสุดท้ายประเภทเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มี 3 ทีม ประกอบด้วย 1.Gurr.com แพลตฟอร์มเพื่อการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของนักศึกษา 2.จับจ่าย เทคโนโลยีที่สร้างบัญชีเงินฝากระหว่างนักเรียนกับโรงเรียนด้วยลายนิ้วมือ และ 3.มิวอาย เลนส์ที่เปลี่ยนสมาร์ทโฟนให้เป็นกล้องจุลทรรศน์
ซึ่งแต่ละผลงานล้วนแล้วแต่อยู่ในกลุ่มที่มีความต้องการในตลาดทั้งสิ้น
|
|