คุณนงนวล รัตนประทีป ผู้สื่อข่าว “สำนักข่าวการศึกษา สยามเอ็ดดูนิวส์” รายงานจากโรงเรียน ภปร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ อ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา
นายสนิท แย้มเกสร ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พร้อมด้วย นายธีร์ ภวังคนันท์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองช่วยเหลือนักเรียน (ฉก.ชน.) สพฐ. ลงพื้นที่ติดตามการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุไฟไหม้ และความปลอดภัยอาคารสถานที่พักนอนของนักเรียน
ซึ่งเป็นจุดแรก หลังจากเกิดเหตุการณ์สลด!ไฟไหม้อาคารบ้านพักนักเรียนชั้นประถมศึกษาของโรงเรียนพิทักษ์เกียรติวิทยา อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย จนทำให้มีเด็กนักเรียนถูกไฟคอกเสียชีวิตถึง 17 ราย เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา
นายสนิท ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้รับมอบหมายจากนายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ลงพื้นที่ติดตามมาตรการป้องกันและการซักซ้อมแผนป้องกันอัคคีภัยในโรงเรียนพักนอน
ตามที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีความห่วงใย ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยไฟไหม้หอพักนักเรียนหญิงที่ จ.เชียงรายขึ้นอีก
จึงได้กำชับให้ สพฐ.วางมาตรการป้องกันอย่างเร่งด่วน โดยนายการุณได้มอบหมายให้ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองช่วยเหลือนักเรียน ดำเนินการจัดให้ทุกโรงเรียนฝึกอบรมแผนเผชิญเหตุ ร่วมกับสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด กระทรวงมหาดไทย
“โดยมีการบรรจุการซ้อมแผนเผชิญเหตุไว้ในกิจกรรมลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ รวมทั้งให้แต่ละโรงเรียนจัดทำคู่มือการป้องกันและระงับอัคคีภัยที่เข้าใจง่าย และสามารถปฏิบัติได้ทันที”
ด้านนายธีร์ กล่าวว่า การที่ศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองช่วยเหลือนักเรียน สพฐ.ลงพื้นที่ติดตามการเตรียมความพร้อมในการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุไฟไหม้ ที่โรงเรียนภปร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นจุดแรกตามนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากนายการุณนั้น เนื่องจากเป็นโรงเรียนชายล้วนและมีอาคารนอน
เด็กที่เข้าเรียนจะมีเด็กเล็กและเด็กโตคือ ระดับ ป.5-ม.6 ซึ่งมีความแตกต่างกันและอาคารนอนในโรงเรียนมีทั้งหมด 5 อาคาร และเป็นอาคารสูง 4 ชั้น เพื่อเป็นต้นแบบในการดูจุดอ่อนว่า ยังมีตรงไหนเพื่อจะได้เข้าไปช่วยเติมเต็มให้สมบูรณ์มากขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันและเตรียมพร้อมรับมือกับภัยที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ ไม่เฉพาะเรื่องไฟไหม้แต่รวมถึงภัยต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็นต้องดำเนินการให้มีความพร้อม เช่น การฝึกการป้องกันปฏิบัติการสำหรับภัยที่มีความสูง โดยการจำลองสถานการณ์สมมุติ เพื่อฝึกระบบการจัดการเมื่อเกิดเหตุ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ดูแลอาคารนอน เครื่องมือ ยานพาหนะ รวมถึงระบบสื่อสาร
โดยเป็นการฝึกซ้อมเสมือนเหตุการณ์จริง เพื่อเด็กจะได้เรียนรู้ มีความเข้าใจการป้องกันอัคคีภัย และทักษะเบื้องต้นในการดูแลตัวเองและเอาตัวรอด การซักซ้อมอพยพตามแผนฉุกเฉิน
“เช่น เมื่อเกิดเหตุเวลากลางคืนจะให้โรงเรียนใช้แถบสีสะท้อนแสงเป็นการแจ้งเตือนเสริมจากการประกาศ เพื่อให้นักเรียนทุกคนรับรู้ โดยมอบให้กับครูและพี่เลี้ยงดูแลประจำเรือนนอน ทั้งนี้ เพื่อให้ครูและนักเรียนตื่นตัวและหนีได้ทัน รวมทั้งการป้องกันก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุอัคคีภัยอย่างครบวงจร”
ทางด้าน ดร.บัญชา จันทร์ดา ผู้อำนวยการโรงเรียน ภปร.ราชวิทยาลัยฯ กล่าวว่า แผนป้องกันการเผชิญเหตุไฟไหม้และความปลอดภัยอาคารสถานที่พักของนักเรียนนั้น ถือเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญที่โรงเรียนต้องสร้างองค์ความรู้ให้เด็กและเจ้าหน้าที่โรงเรียนทุกคน ไม่ใช่เฉพาะป้องกันเรื่องของอัคคีไฟ แต่ทุกๆ เรื่อง
ซึ่งผู้ปกครองมักจะมีคำถามอยู่เสมอว่า เมื่อบุตรหลานเขามาอยู่กินนอนในโรงเรียนแห่งนี้แล้ว จะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่ามีความปลอดภัย เราก็ต้องชี้แจงว่าโรงเรียนมีกระบวนการให้ความรู้กับนักเรียนทุกคน และครูทุกคนต้องตระหนักด้วย เพราะโรงเรียนมีระเบียบวินัยชัดเจนอยู่แล้ว
ปัจจุบันที่โรงเรียนมีนักเรียนทั้งหมด 1,050 คน ครูประจำการมี 98 คน และบุคลากรอีก 20 กว่าคน รวมถึงเจ้าหน้าที่ต่างๆ อีกกว่า 80 คน ทั้งหมดจะมีบ้านพัก 5 อาคาร ภายในบ้านก็จะมีหอนอนของเด็กๆ รวมทั้งที่บ้านของครูและเจ้าหน้าที่
โดยแบ่งเป็นเด็กโตตั้งแต่ ม.1-ม.6 จะแบ่งให้ไปอยู่บ้านใหญ่ จำนวน 4 หลัง ส่วนเด็กที่เรียนระดับ ป.5-ป.6 จะอยู่อีกหลัง ที่แยกเพราะบุคลิกลักษณะหรือวุฒิภาวะการดูแลของเด็กเล็กต้องดูแลมากเป็นพิเศษ
สำหรับการเผชิญเหตุเรื่องอัคคีภัยหรือเหตุภัยต่างๆ นั้น สามารถเกิดได้ทุกที่ แต่เมื่อเกิดเหตุแล้วใครมีทักษะแก้ไขอย่างไรเป็นเรื่องสำคัญ พฤติกรรมการแก้ไขให้เป็นระบบเดียวกัน คือการฝึกซ้อมความรู้การปฏิบัติจริง แล้วประเมินว่าจุดอ่อนของเราอยู่ตรงไหน จากนั้นค่อยๆ ปรับปรุง
เรื่องการซักซ้อมเผชิญเหตุอัคคีภัยควรทำทุกปี เพราะมีเด็กนักเรียนเข้าใหม่และเด็กที่ออกไป นี่คือสิ่งที่เราต้องมีกระบวนการให้ความรู้ชัดเจน และควรทำกับโรงเรียนทุกแห่ง
“วันนี้เราทำเพื่อให้ทุกคนเข้าใจระบบมากขึ้น การป้องกันเป็นสิ่งดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นคุณค่า นี่คือพฤติกรรมคนไทย ถ้าไม่เกิดเหตุก่อนก็จะไม่เกิดความตระหนัก แต่ต้องยอมรับว่า พฤติกรรมของคนถ้าเคยซักซ้อมไปสักครั้ง จะทำได้ง่ายกว่าในสิ่งที่ไม่เคยซ้อมเลย เช่น การวิ่ง การเดิน อย่างถูกต้อง ถ้าไม่เคยซักซ้อมความวุ่นวายก็จะเกิด” ผอ.ร.ร.ภปร.ราชวิทยาลัยฯกล่าว
|
|