พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการดำเนินการฟ้องแพ่งเพื่อเรียกเงินจำนวน 2,100 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี คืนจากธนาคาร มาให้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ว่า ตนได้รับทราบจากนายพินิจศักดิ์ สุวรรณรังค์ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ในฐานะปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สกสค. ว่าได้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้วพบว่า ธนาคารดังกล่าวมีการอนุมัติปิดบัญชีและเบิกถอนเงินของ สกสค.ที่ฝากไว้ไม่ถูกต้อง

และได้ส่งเรื่องให้อัยการเป็นผู้ดำเนินการเรื่องฟ้องแพ่งเพื่อเรียกเงินคืนจากธนาคารแล้ว ซึ่งทางอัยการได้รับเรื่องเพื่อไปพิจารณาในข้อกฎหมายต่อไป

“เป็นขั้นตอนที่เราต้องทำ กระทรวงศึกษาฯอยู่เฉยไม่ได้ ในมุมกฎหมายเราอาจมองอย่างหนึ่งว่า เราเสียผลประโยชน์และธนาคารน่าจะรับผิดชอบ ส่วนสถาบันการเงินเขาอาจมองอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อาจมองต่างกัน โดยผมได้บอกนายพินิจศักดิ์ไปว่า ถ้าไม่ทำ อาจจะโดนข้อหาละเว้นได้”

พล.อ.ดาว์พงษ์กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังได้ทำหนังสือไปถึง สน.ดุสิต เพื่อติดตามเรื่องที่ฟ้องร้องอดีตผู้บริหาร สกสค.ไว้ด้วย เพราะเรื่องนี้เงียบไปนานแล้ว ตนคงปล่อยไม่ได้อีกแล้ว เพราะเนิ่นนานมาตั้ง 1 ปีแล้ว แต่กลับไม่มีความคืบหน้า

อนึ่ง ว่ากันว่าเงินจำนวน 2,100 ล้านบาทดังกล่าว เป็นเงินถอนจากบัญชีกองทุนเงินสนับสนุนพิเศษและส่งเสริมความมั่นคง ตามโครงการสวัสดิการเงินกู้ ช.พ.ค. ซึ่งเปิดบัญชีฝากไว้กับธนาคารแห่งหนึ่ง

โดยเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2556 มีกรรมการกองทุน ช.พ.ค. 2 คน ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจถอนเงินมาลงชื่อในใบถอนเงินและปิดบัญชีกับธนาคารดังกล่าว เพื่อโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของบริษัท บิลเลี่ยน อินโนเวเท็ด กรุ๊ป จำกัด อ้างว่าเพื่อนำไปร่วมลงทุนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี

และเนื่องจากธนาคารแห่งนี้อ้างว่า เป็นเงินจำนวนมาก ลูกค้าเกรงจะไม่ปลอดภัยระหว่างเดินทาง ธนาคารจึงช่วยอำนวยความสะดวกโอนเงินเข้าบัญชีบริษัท บิลเลี่ยนฯให้ตามคำขอลูกค้า

กระทั่งสุดท้าย บริษัท บิลเลี่ยนฯไม่สามารถคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้กับกองทุน ช.พ.ค.ดังกล่าวได้

ซึ่งคดีนี้ทางกระทรวงศึกษาฯได้สั่งแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้ด้วย และมีการตั้งข้อกล่าวหาอดีตผู้บริหาร สกสค. และผู้บริหารบริษัท บิลเลี่ยนฯ ร่วมกันปลอมแปลงเอกสาร หรือร่วมกันฉ้อโกงเงินสวัสดิการครู จำนวน 2,100 ล้านบาท

แต่จนถึง ณ วันนี้ เรื่องยังเงียบหายอยู่...