วิศวะเครื่องกล มจธ. จัดทีมเปิดให้บริการวิชาการธุรกิจ Start up แห่งแรก


ป.โท วิศวกรรมเครื่องกล มจธ. โชว์ป๋าเปิดบริษัทดันไอเดียนวัตกรรมสู่การลงทุนให้เป็นจริง ลบจุดอ่อนวิศวกรด้วยองค์ความรู้ทางธุรกิจ เฮ!รับ Start up รุ่นบุกเบิกจากรั้วพระจอมเกล้าธนบุรี

Lab on a Chip เป็นเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ขนาดจิ๋วที่กำลังเป็นกระแสของโลกในช่วงไม่กี่ปีมานี้ และในประเทศไทยเองก็มีหลายหน่วยงานให้ความสนใจในการพัฒนาเช่นกัน

โดย ผศ.ดร.วิศนุรักษ์ เวชสถล และทีมวิจัยจากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ก็เป็นหนึ่งกลุ่มคนที่มองเห็นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ข่าวการศึกษา ด้าน ศุภกร อิสสระกุล ศิษย์เก่าปริญญาโท ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล มจธ. กล่าวว่า ตนได้เข้าร่วมวิจัย Lab on a Chip ตั้งแต่เข้าเรียนปริญญาโท โดยมี ผศ.ดร.วิศนุรักษ์ เป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้ริเริ่มแนวคิด แต่เนื่องจากการวิจัยและพัฒนา Lab on a Chip  เป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ต้องใช้เวลานานและใช้ทุนสูง

จึงได้มองหาช่องทางต่างๆ ในการผลักดันผลงานหลายเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน lab ให้ออกเป็นธุรกิจ เพื่อหาทุนมาสนับสนุนการพัฒนา Lab on a Chip นวัตกรรมการย่อระบบการตรวจเลือดในห้องปฏิบัติการมาสู่การแสดงผลบนแผ่นชิพขนาดเล็ก โดยในเบื้องต้นได้พัฒนาเครื่องต้นแบบชุดตรวจโรคซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาต่อไป

“เมื่อประมาณปี พ.ศ.2557 จังหวะนั้นเป็นช่วงที่ มจธ.ได้จัดโครงการประกวด Start up Company ขึ้นเป็นปีแรก ผมและพี่น้องใน lab จึงรวมทีมกันเพื่อเขียนแผนธุรกิจส่งเข้าประกวดโครงการนี้ แต่เรามาจากวิศวกรรมล้วนๆ เรื่องธุรกิจนั้นเริ่มจากศูนย์ เราต้องหาข้อมูลว่าธุรกิจเค้าทำกันอย่างไร รายได้จะมาจากไหน หาข้อมูลทางเศรษฐศาสตร์ ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง

จนกระทั่งเราสามารถเขียนแผนธุรกิจขึ้นมาได้และส่งเข้าประกวดจนได้รับรางวัลที่หนึ่งในเรื่อง Business Model ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ให้ทุนสนับสนุน และให้คำแนะนำในด้านต่างๆ ฟูมฟักจนกระทั่งเกิดเป็นบริษัท start up ขึ้นมาได้” ศุภกร กล่าว

ศุภกร กล่าวต่อว่า ด้วยเหตุผลดังกล่าวเมื่อสองปีก่อนจึงได้เกิดบริษัท MMED หรือ รวมพหุวิทยาการวิศวกรรม ขึ้นและนับเป็น Start up ลำดับที่ 1 จากรั้ว มจธ. ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยโดย บริษัท นววิวรรธ ซึ่งเป็น บ.Holding Company ของ มจธ. ร่วมเป็นหุ้นส่วน

ปัจจุบัน MMED เปิดดำเนินธุรกิจประเภทงานบริการวิชาการด้านวิศวกรรมก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว โดยบริษัทมีแนวโน้มในการเติบโตขึ้นในทุกปี ซึ่งในปีที่ 3 นี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะเพิ่มทุนเป็น 10 ล้านบาท ปัจจุบันมีพนักงาน Full Time ระดับปริญญาโทจำนวน 9 คน

MMED ให้บริการด้านวิศวกรรมที่หลากหลาย จุดแข็งของเราคือ Engineering ภายใต้สโลแกน Absolute Solution เราคิดนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ตรงกับความต้องการในปัจจุบัน เพื่อผลักดันนวัตกรรมออกไปสู่ผู้ลงทุนรายต่างๆ โดยเราจะเป็น Engineering Support ในเรื่องเทคนิคให้อีกที เราทำงานบริการวิชาการทั้งด้าน Health Care, Food Industry และกำลังจะเริ่มในส่วนของ Power Plant

ปัจจุบัน MMED ได้พัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมและเอกชนหลายแห่ง ทั้งระดับ SME และระดับมหาชน ซึ่งถือว่าเป็นทิศทางที่ดีในการเติบโตของบริษัท แต่ข้อเสียของวิศวกรคือ เราไม่รู้เรื่องธุรกิจ

ดังนั้น ในแต่ละโปรเจกที่บริษัทผลักดันออกไป เราไม่ได้ดูแลในเรื่องธุรกิจเองทั้งหมด แต่ให้ผู้ลงทุนในแต่ละโปรเจกเป็นคนดำเนินธุรกิจ โดยมี MMED เป็นหุ้นส่วนและที่ปรึกษา เราจึงพยายามลบจุดอ่อนของวิศวกรด้วยการเรียนรู้และหาข้อมูลเรื่องการดำเนินธุรกิจด้วยตัวเองอยู่เสมอ

ไม่ว่าจะมีการ pitching หรือสัมมนาธุรกิจที่ไหนเราก็จะไปฟังเพื่อแสวงประสบการณ์จากคนที่เค้าทำมาแล้ว ไม่ว่าจะทำ Financial Analysis, SWOT Analysis การวิเคราะห์แผนธุรกิจ จุดแข็ง จุดเสี่ยง เดี๋ยวนี้เราก็ทำได้และมีความเข้าใจมากขึ้น

ล่าสุด MMED กำลังตั้งบริษัทย่อย Outpatient Services International ขึ้น เพื่อดูแลนวัตกรรมเครื่องจ่าย ยาแผงอัตโนมัติที่จะช่วยลดเวลาในการรอรับยาของคนไข้ในโรงพยาบาลซึ่งได้จดสิทธิบัตร และมีบริษัทพร้อมเข้าร่วมลงทุนแล้ว ซึ่งรายได้ส่วนหนึ่งจาก MMED ก็ถูกนำมาใช้ในการวิจัยพัฒนา lab on a chip ต่อไป

“ศุภกร” กล่าวทิ้งท้ายว่า คนรุ่นใหม่ที่อยากทำ start up ว่าต้องรู้ตัวเองก่อนว่าอยากทำอะไร และอยากเป็นอะไร เพราะเทรนด์ตอนนี้ใครๆ ก็อยากทำอะไรที่เป็นของตัวเองเพราะทุกคนมีความฝัน แต่มีปัจจัย ข้อจำกัด และความเสี่ยงหลายด้าน  ดังนั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้เป็น start up ที่ประสบความสำเร็จ คือต้องรู้ตัวเองว่าต้องการอะไร และเข้าใจทิศทางของสิ่งๆ นั้นจริงๆ

“ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะสวยหรูมาตั้งแต่เริ่ม ดังนั้น หากมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วถ้าวันหนึ่งล้มเหลวก็ต้องยอมรับได้ แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้ง”