ศธ.สั่งสำรวจ ขรก.-บุคลากรในสังกัด ผิดนัด-เบี้ยวชำระคืนกองทุนเพื่อการศึกษา “กยศ.-กรอ.”


พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อเร็วๆ นี้ ได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กองทุนเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นการควบรวมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกติดกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) เข้าด้วยกัน และช่วยแก้ปัญหาการติดตามการชำระหนี้ของผู้กู้ที่ไม่ยอมชำระคืนรวมจำนวนกว่า 2 ล้านคน คิดเป็นเงินกว่า 52,000 ล้านบาท

“ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้กำหนดให้ผู้กู้ยืมต้องยินยอมให้เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลหรือเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับการกู้ยืมและการจ่ายคืน รวมทั้งเมื่อผู้กู้ยืมเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน จะต้องยินยอมให้หักเงินได้พึงประเมินตามความเหมาะสม เพื่อทยอยชำระคืนเงินกองทุนเพื่อการศึกษา แต่จะไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการดำรงชีพของผู้กู้” พล.ต.สรรเสริญกล่าว

ทั้งนี้ ในที่ประชุมกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันพุธที่ 2 มีนาคม 2559 มี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เป็นประธาน ได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สป.) สำรวจและรวบรวมจำนวนข้าราชการและบุคลากรในสังกัด ศธ.ที่เคยกู้ยืมเงิน กยศ. และหรือ กรอ. โดยเฉพาะผู้ที่ยังผิดนัดหรือค้างชำระ เพื่อหามาตรการแก้ไขต่อไป

อนึ่ง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนเพื่อการศึกษา มีสาระสำคัญดังนี้

1.กำหนดให้มีกองทุนเพื่อการศึกษา มีฐานะเป็นนิติบุคคล ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีงบประมาณ อยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง โดยมีวัตถุประสงค์ให้แก่นักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ นักเรียนนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลัก ซึ่งมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนและมีความจำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ นักเรียนนักศึกษาที่ศึกษาในสาขาวิชาขาดแคลนหรือสาขาที่กองทุนมุ่งส่งเสริมเป็นพิเศษ

และให้แก่นักเรียนนักศึกษาที่เรียนดีเพื่อสร้างความเป็นเลิศ โดยนักเรียนนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินมีหน้าที่ต้องคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ได้รับไปทั้งหมดคืนให้กองทุน

2.กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเพื่อการศึกษา โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน มีผู้จัดการเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้คณะกรรมการมีหน้าที่กำหนดนโยบายและกรอบแนวทางในการดำเนินงาน กำหนดระเบียบและหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน

3.กำหนดให้มีสำนักงานกองทุน ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ และดำเนินงานต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนและนโยบายของคณะกรรมการรวมทั้งประสานงานกับส่วนราชการและองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

4.กำหนดให้มีผู้จัดการกองทุน มีอำนาจหน้าที่บริหารและจัดการเงินกองทุนเพื่อการศึกษา ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด โดยผู้จัดการสามารถจ้างสถาบันการเงินหรือนิติบุคคลใดๆ ตามความเหมาะสมเพื่อทำหน้าที่แทนกองทุนในการบริหารและจัดการการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและการดำเนินการติดตามเร่งรัดการชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา

5.กำหนดให้คณะกรรมการกองทุน  กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขสำหรับสถานศึกษาที่จะเข้าร่วมดำเนินงานให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา โดยให้มีคณะอนุกรรมการกำกับและประเมินสถานศึกษาที่เข้าร่วมดำเนินงานให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา มีหน้าที่ติดตามตรวจสอบและกำกับดูแลสถานศึกษา

6.กำหนดให้นักเรียนหรือนักศึกษาผู้ประสงค์จะขอกู้ยืมเงินกู้เพื่อการศึกษาประเภทใด ให้ยื่นคำขอต่อคณะกรรมการฯ สำหรับเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาแต่ละประเภทนั้น และผู้กู้ยืมเงินต้องยินยอมให้กองทุนเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินและการชำระเงินคืนกองทุน รวมถึงการให้ความยินยอมในขณะทำสัญญากู้ยืมเงิน

7.กำหนดให้นักเรียนหรือนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินที่สำเร็จการศึกษาหรือเลิกการศึกษาแล้ว มีหน้าที่ต้องชำระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ได้รับไปคืนให้กองทุน ตามจำนวน ระยะเวลา และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด

8.กำหนดให้เมื่อผู้กู้ยืมเงินเข้าทำงาน ในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนให้บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ทั้งภาครัฐและเอกชน ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ส่งข้อมูลบุคลากรในสังกัดให้กองทุนตรวจสอบว่าเป็นผู้กู้ยืมเงินหรือไม่ และมีหน้าที่หักเงินได้พึงประเมินของผู้กู้ยืมเงินในลำดับเดียวกับหนี้ค่าภาษีอากร