"สี จิ้นผิง"เตรียมลงดาบธุรกิจการศึกษานอก ปท.
"ม.เอกชนไทย"ติดกลุ่มด้วย!
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 ม.ค. 65) รายงานว่า ในช่วงสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มการศึกษาของจีนถือว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะยกระดับระเบียบการธุรกิจด้านการศึกษา โดยสั่งระงับกิจการโรงเรียนกวดวิชาจำนวนมาก และกำลังขยายผลไปยังการศึกษาต่างประเทศภายใต้ทุนจีน ซึ่งมหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดหลักสูตรเพื่อดึงดูดนักศึกษาจีน แบบไม่ได้มาตรฐาน
ล่าสุดในช่วง 3 วันที่ผ่านมา Bloomberg Intelligence ในกลุ่มธุรกิจการศึกษาของจีนร่วงลง 27% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักที่สุด นับตั้งแต่ที่รัฐบาลจีนประกาศยกเครื่องธุรกิจการศึกษามาตั้งแต่เดือนก.ค. 2564 อีกทั้งยังเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ปี 2558 เป็นต้นมา
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้น หลังจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีการเผยแพร่เอกสารที่อ้างว่ามาจากกระทรวงศึกษาธิการจีน ระบุว่า ทางการจีนอาจสั่งแบนไม่ให้บริษัทการศึกษาจีนจัดตั้งบริษัทตัวแทนนอกประเทศ (Variable Interest Entities หรือ VIE) ซึ่งจะทำให้บริษัทจีนไม่สามารถเสนอขายหุ้นในต่างประเทศผ่านกลไกดังกล่าวได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้แม้ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข่าวดังกล่าว ซึ่งนักลงทุนหวังว่าจีนจะออกมาปฏิเสธ แต่เมื่อถึงขณะนี้ ยังไม่มีเสียงตอบรับจากทางการ จึงทำให้เกิดแรงเทขายหุ้นดังกล่าวในตลาดหุ้นไชน่า เอดูเคชัน กรุ๊ป โฮลดิงส์ ดิ่งลง 21% ในวันนี้ ส่งผลให้ตลอดสัปดาห์นี้หุ้นดังกล่าวร่วงลงมากถึง 54%
เมื่อเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่า เมื่อกลุ่มธุรกิจการศึกษาของจีนร่วงลง 27% ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา และตามมาด้วยข่าวทางการจีนอาจสั่งแบนไม่ให้บริษัทการศึกษาจีนจัดตั้งบริษัทตัวแทนนอกประเทศ ไม่เพียงจะกระทบถึงธุรกิจการศึกษาของกลุ่มทุนจีนเข้ามาซื้อกิจการมหาวิทยาลัยเอกชนไทยก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่อาจจะสร้างปัญหาใหม่ ๆให้กับไทยหรือไม่อย่างไร คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป
อีกทั้ง ยังมีกระแสคาดการณ์ว่า จีนจะออกข้อกำหนดเกี่ยวกับสินทรัพย์ของสถาบันการศึกษา การควบรวมกิจการ และการขึ้นค่าธรรมเนียมการศึกษาในประเทศอีกด้วย
กล่าวสำหรับประเทศไทย มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ได้รับรู้กันว่า ตั้งแต่ช่วงปี 2561มีกลุ่มทุนจีนเข้ามาเดินสายเจรจาซื้อมหาวิทยาลัยเอกชนไทย โดยเฉพาะบริเวณเส้นทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ และเขตพัฒนาเศรษฐกิจ EEC รวมทั้งบริเวณพื้นที่อื่น ๆ ในจังหวัดใหญ่ ๆ เนื่องจากเป็นจังหวะที่มหาวิทยาลัยเอกชนไทย กำลังประสบปัญหาทั้งเรื่องของสภาพคล่องทางการเงิน และจำนวนนักศึกษาไทยที่ลดน้อยอย่างต่อเนื่อง แม้บางแห่งจะไม่ได้รับผลกระทบจากการลดจำนวนของนักศึกษาก็ตาม
ขณะเดียวกัน สื่อไทยได้มีการเสนอข่าวนักธุรกิจทุนจีนยึด มหาลัยไทย แบบคุมเบ็ดเสร็จ ทั้งเปลี่ยนสัดส่วนผู้ถือหุ้น และผู้บริหาร มีการดึงตลาดนักศึกษาจีนที่สอบเข้ามหา’ลัยไม่ได้ปีละกว่า 5 ล้านคน มาเรียนในไทยแทน และปรับเปลี่ยนหลักสูตรเป็นภาษาจีน พร้อมดึงบุคลากรจีนเข้ามาดูแล ซึ่งขณะนั้นถือว่า ยังเป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทยและวงการศึกษาไทย อีกทั้งกระทรวงการอุดมศึกษาฯ หรือ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่น ๆ รวมถึง สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย ที่มีมหาวิทยาลัยเอกชนเป็นสมาชิก รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศเอง ก็ยังไม่รู้ว่าบทบาทของแต่ละส่วนต้องเข้าไปมีบทบาท หรือต้องทำอะไรบ้างกับเรื่องนี้
แม้ถึงขณะนี้ มีมหาวิทยาลัยเอกชนไทยหลายแห่งได้รับการทาบทามซื้อกิจการ บางรายสามารถตกลงในการร่วมทุนไปแล้ว ก็ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูล ในขณะเดียวกัน หลักสูตรของนักศึกษาไทยก็ยังทำการเรียนการสอนตามปกติ
การที่มีข่าวออกมาว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง อาจสั่งแบนไม่ให้บริษัทการศึกษาจีนจัดตั้งบริษัทตัวแทนนอกประเทศ เนื่องจาก ศูนย์นักศึกษาต่างชาติ กระทรวงศึกษาธิการจีน ออกประกาศเมื่อวันที่ 3 ก.ย.ปีที่ผ่านมา ระบุว่าได้รับการร้องเรียนจำนวนมากว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด สถาบันการศึกษาในต่างประเทศหลายแห่งได้เปิดหลักสูตรการเรียนออนไลน์ที่มีคุณภาพต่ำเพื่อดึงดูดนักศึกษาจีน
ดังนั้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักศึกษาชาวจีนที่ไปเรียนในต่างประเทศ และการดำเนินการที่เหมาะสมของตลาดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจีน จะเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากหลายสถาบัน รวมทั้ง มหาวิทยาลัยของไทย ที่ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากประเทศจีน เพื่อขยายหลักสูตรนานาชาติโดยไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งมีนักศึกษาชาวจีนเป็นกลุ่มเป้าหมาย หากไม่ได้รับการรับรอง จะทำให้ปริญญาบัตรไม่สามารถใช้เรียนต่อและทำงานในประเทศจีนได้ ซึ่งในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้ ใช้เวลาไม่เกิน 60 วันทำการ โดยจะตรวจสอบเอกสารและสถานภาพที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นอิสระ
มีรายงานว่า มีประเทศที่กำลังถูกกระทรวงศึกษาธิการจีนตรวจสอบและสั่งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบวุฒิ ในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สเปน และเบราลุส แล้ว ยังมี มหาวิทยาลัยเอกชนไทยที่ติดอยู่ในกลุ่มอีกด้วย หากพบ จะมีคำสั่งระงับการรับรองวุฒิการศึกษาเช่นกัน
ก็รอดูอยู่ว่า กระทรวงการอุดมศึกษาฯ หรือ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่น ๆ รวมถึง สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย จะมีมาตรการตั้งรับหรือทางออกในเรื่องนี้อย่างไร หรือว่า เป็นเรื่องภายในของจีนเอง คงไม่ได้แน่นอนในสายตานานาประเทศ
(โปรดกดถูกใจเพจ Edunewssiam ด้านล่างขวา เพื่อรับข่าวสารอัพเดตในฟีดข่าว)