“ตรีนุช”เพ่งเล็ง!อย่างน้อย 13 สหกรณ์ออมทรัพย์ครูดอกเบี้ยสูง 7-9 เปอร์เซ็นต์

“ตรีนุช” เล็งเห็นผลบรรเทาหนี้ครูฯ 9 แสน ล.ผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ทั่ว ปท. ชี้ลดดอก 1% เท่ากับครูฯมีเงินใช้ต่อปีเพิ่มขึ้นกว่า 1 หมื่นบาท เพ่งเล็ง!อย่างน้อย 13 สหกรณ์กำหนดดอกเบี้ยสูง 7-9% ชื่นชมสหกรณ์ครูสุราษฎร์ธานี ยอมลดแบบขั้นบันไดจาก 5.5% เหลือไม่เกิน 5% ภายในปีนี้ 

ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับจังหวัด ผ่านระบบ VIDEO ZOOM MEETING โดยมีคณะผู้บริหาร ศธ. ผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมสหกรณ์ สหกรณ์ออมทรัพย์ครู รองผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ เข้าร่วม เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565

น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. กล่าวเปิดประชุมตอนหนึ่งว่า พล.อ.เอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศให้ปี 2565 เป็น “ปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน” ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่จำนวนกว่า 9 แสนคน มีหนี้สินรวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ศธ.จึงได้ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาขึ้น เพื่อต้องการลดภาระหนี้โดยรวมของครูให้น้อยลง ให้ครูเหลือรายได้ต่อเดือนเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไม่น้อยกว่า 30% ของเงินเดือน

ซึ่งได้กำหนดแนวทางขับเคลื่อนในเฟสแรก 4 มาตรการ ดังนี้ 1.ลดดอกเบี้ย โดยขอความร่วมมือสหกรณ์ออมทรัพย์ครูในจังหวัดต่างๆ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ครูรายใหญ่ ได้เข้าร่วมช่วยแก้ไขปัญหาหนี้สินครูฯ โดยขณะนี้มีสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 70 แห่ง จากทั้งหมด 108 แห่ง ได้เข้าร่วมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงแล้ว ตั้งแต่ 0.05-1.0% และพบว่ามีสหกรณ์ออมทรัพย์ครู 11 แห่ง ที่สามารถปรับลดดอกเบี้ยลงเหลือต่ำกว่า 5% โดยมีครูได้รับประโยชน์ทันทีกว่า 460,000 คน และจะเร่งขยายผลให้ครอบคลุมทั่วประเทศในเฟสถัดไป

“ทั้งนี้ เพราะหากสหกรณ์ฯลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% จะทำให้ครูซึ่งมีจำนวนหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 1,000,000 บาท มีเงินเหลือไว้ใช้จ่ายต่อปีเพิ่มขึ้นถึง 10,000 บาท ทันที” รมว.ตรีนุช กล่าวและว่า นอกจากนี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงพลังงาน รับจะเป็นคนกลางในการประสานขอความร่วมมือกับธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นสถาบันการเงินของรัฐและเจ้าหนี้ครูรายใหญ่อีกแห่ง เพื่อชะลอการดำเนินคดีทางกฎหมายกับกลุ่มครูที่เบี้ยวนัดชำระหนี้ ซึ่งคาดว่ามีครูได้รับประโยชน์อีกกว่า 25,000 คน

สำหรับมาตรการที่ 2.พิจารณาและควบคุมการอนุมัติเงินกู้ให้กับครูฯอย่างเคร่งครัด โดยยอดผ่อนชำระหนี้รวมทั้งหมดของผู้กู้ต้องไม่ให้เกินกว่า 70% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อให้ครูสามารถมีเงินใช้จ่ายได้ 30% ของเงินเดือน โดย ศธ.จะร่วมมือกับบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ในการสร้างระบบและเชื่อมโยงข้อมูลหนี้รายบุคคลกับ ศธ. เพื่อให้ทราบข้อมูลหนี้ครูรายคนสำหรับการบริหารจัดการไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อน โดยถ้าระบบตรวจพบว่าครูที่ต้องการกู้เงินเพิ่มเติม มีหนี้รวมต้องผ่อนชำระมากกว่า 70% ของเงินเดือน ก็จะไม่ได้รับการอนุมัติให้กู้เพิ่ม

มาตรการที่ 3.จัดตั้งสถานีแก้หนี้ครูฯระดับเขตพื้นที่การศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษา และระดับจังหวัด 77 จังหวัด รวม 558 สถานีทั่วประเทศ โดยดำเนินการในรูปคณะกรรมการ ซึ่งระดับเขตพื้นที่ฯกำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) หรือหัวหน้าหน่วยงานทางการศึกษา เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวทางแก้หนี้ร่วมกับสหกรณ์ออมทรัพย์ครู ส่วนราชการ และสถาบันการเงิน, จัดทำระบบข้อมูล ปรับปรุง และกำหนดมาตรการหักเงินเดือนเพื่อชำระหนี้, รับลงทะเบียนครูฯเข้าร่วมแก้ไขปัญหาหนี้สิน, ช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้กับครูและผู้ค้ำประกัน

ส่วนสถานีแก้หนี้ครูฯระดับจังหวัด จะมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือรองผู้ว่าฯ เป็นประธาน กำกับดูแลในภาพรวมของจังหวัด บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นภายในจังหวัด ช่วยเหลือสถานีแก้หนี้ระดับเขตพื้นที่ฯและหน่วยงานทางการศึกษา ตามที่ได้รับการร้องขอ

และ มาตรการที่ 4.ให้ความรู้ด้านการเงินแก่ครูฯ โดยประสานงานกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครูสามารถวางแผนการใช้เงิน และมีระเบียบวินัยในการใช้จ่ายได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า นับตั้งแต่ ศธ.เปิดให้ครูมาลงทะเบียนแก้ปัญหาหนี้สินเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้มีครูมาลงทะเบียนแล้ว 27,427 คน ซึ่ง ศธ.จะส่งต่อให้เขตพื้นที่ฯเร่งดำเนินการช่วยเหลือ ขณะเดียวกัน ศธ.จะเดินหน้าหาแนวทางแก้ไขที่หลากหลาย รวมถึงดำเนินการเกี่ยวกับกฎ ระเบียบต่างๆ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดและแบ่งเบาการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูต่อไป

“ซึ่งดิฉันยินดีรับฟังข้อเสนอแนะต่างๆ จากทุกคน และในนามของรัฐบาลขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันขับเคลื่อนโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เกิดผลสัมฤทธิ์ เพื่อร่วมกันยกระดับคุณภาพชีวิตเพื่อนครูด้วยกัน และช่วยลดความกังวล ซึ่งจะส่งผลให้ครูสามารถปฏิบัติหน้าที่สอนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ มีความสุข พัฒนาห้องเรียนให้มีคุณภาพ และสร้างคุณภาพนักเรียนและเยาวชนของประเทศให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพมากขึ้นไปด้วย”

ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์ EdunewsSiam.com รายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.ตรีนุช รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้กล่าวในการประชุมแก้ไขปัญหาหนี้สินครูฯ โดยใช้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูต้นแบบเป็นฐาน ที่ จ.สุราษฎร์ธานีว่า จากข้อมูลพบว่าปัจจุบันมีครูฯทั่วประเทศประมาณ 9 แสนคน เป็นหนี้ยอดรวมกันกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ในจํานวนนี้เป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ครู 108 แห่งทั่วประเทศ รวม 8.9 แสนล้านบาท

โดยจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั้งหมด 108 แห่งนี้ มีเพียง 13 แห่ง ที่กําหนดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราไม่เกิน 5% ต่อปี ขณะที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูอย่างน้อย 13 แห่ง กําหนดดอกเบี้ยเงินกู้สูงถึง 7-9% ต่อปี

"ที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีสมาชิก 8,478 คน มีมูลหนี้รวม 9,631,331,007 บาท ได้กําหนดลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้อยู่ที่ประมาณ 5.5% และยังได้ให้ความช่วยเหลือในการพักชําระหนี้ในปีที่ผ่านมา รวมทั้งทราบว่าภายในปี 2565 นี้ ทางสหกรณ์ออมทรัพย์สุราษฎร์ธานียังจะลดดอกเบี้ยตามแผนขั้นบันไดลงเหลือไม่เกิน 5% อีกด้วย" รมว.ตรีนุช กล่าว

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์ EdunewsSiam.com ได้เผยแพร่ข้อมูลสหกรณ์ออมทรัพย์ครู จำนวน 108 แห่งทั่วประเทศ เรียงตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สามัญและเงินกู้พิเศษ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 (ซึ่งได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากนายวิสิทธิ์ ใจเถิง หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ) ดังรายละเอียดต่อไปนี้

 

(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)