ม.มหิดล ร่วมวิจัยพันธุศาสตร์ สนับสนุน "โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย" (Genomics Thailand)

 

.มหิดล ร่วมเปิดศักราชใหม่วิจัยพันธุศาสตร์ พร้อมสนับสนุน "โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย" (Genomics Thailand)

 

การนำวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยอธิบายสิ่งที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ ดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการของโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด 

 

 

 

❝...รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านการแพทย์มาอย่างต่อเนื่อง โดยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ ประเทศไทย พ.ศ. 2563-2567 มาตั้งแต่ 26 มีนาคม 2562 มีเป้าหมายเพื่อการปรับเปลี่ยนระบบบริการการแพทย์ของประเทศ ให้เกิดมาตรฐานใหม่ที่ดียิ่งขึ้น ประชาชนเข้าถึงบริการการแพทย์จีโนมิกส์ ได้อย่างมีคุณภาพ โดยสามารถให้บริการในโรงพยาบาลได้อย่างแพร่หลาย ควบคู่กับการพัฒนาให้ประเทศเป็นผู้นำด้านการแพทย์จีโนมิกส์ระดับอาเซียน

 

และ มีการพัฒนางานวิจัยด้านการแพทย์จีโนมิกส์ใน 5 กลุ่มโรค ได้แก่ กลุ่มโรคมะเร็ง กลุ่มโรควินิจฉัยยากหรือโรคหายาก โรคติดเชื้อ โรคไม่ติดต่อ และเภสัชพันธุศาสตร์ในกลุ่มผู้ป่วยแพ้ยา...

 

 

แต่ด้วยการใช้ข้อมูลที่มาจากการศึกษาวิจัยเชิงลึกทางพันธุศาสตร์ (Genomics) จะทำให้สามารถวินิจฉัยโรคทำนายโรค และเข้าใจพัฒนาการของเชื้อก่อโรคต่างๆ ในมนุษย์ได้ถึงระดับดีเอ็นเอ หรือสารพันธุกรรมที่อยู่ภายในร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติได้ต่อไปในอนาคต จึงเป็นที่มาของวัตถุประสงค์"โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย" (Genomics Thailand) ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของวงการสาธารณสุขไทย ที่จะเปิดศักราชใหม่ของการวิจัยทางพันธุศาสตร์ของมนุษย์

 

 

ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ อาจารย์ประจำศูนย์วิจัยจีโนมจุลินทรีย์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์พรชัย มาตังคสมบัติ (Pornchai Matangkasombut Center for Microbial Genomics) หรือ CENMIG ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ หาวิทยาลัยมหิดล ผู้เป็นเบื้องหลังสำคัญที่มีส่วนผลักดันให้เกิด "โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย"(Genomics Thailand) กล่าวว่า เกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ที่โลกสามารถค้นพบการหาลำดับสารพันธุกรรมในมนุษย์จาก Human Genome Project (HGP) 1990 - 2003 ขึ้นเป็นครั้งแรก ต้องใช้ค่าใช้จ่ายถึงประมาณ 15,000,000,000 บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันล้านบาทแต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ในปัจจุบันสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ลงถึงประมาณ 1 ล้านเท่า หรือเหลือเพียงประมาณ 15,000 บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาทต่อรายเท่านั้น

 

และพบว่า หลายประเทศที่เป็นผู้นำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลก ต่างพร้อมทุ่มเทลงทุนศึกษาวิจัย เพื่อสร้างฐานข้อมูลโครงสร้างทางพันธุกรรมของประชากรในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดของมวลมนุษยชาติ และสามารถทำให้ประชากรโลก ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีจากการสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ ที่อาจสามารถตอบโจทย์ได้โดยจำเพาะระดับบุคคล และมีประสิทธิภาพ

 

  

โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ มองว่าคนไทยมีความพร้อมทั้งทางด้านองค์ความรู้และเทคโนโลยี หากแต่ยังต้องรอให้มีความพร้อมที่เพียงพอในการสร้างระบบการแพทย์ และสาธารณสุขที่เหมาะสม ที่จะมารองรับโครงการดังกล่าวเสียก่อน โดยจะต้องมีการวางแผนเตรียมการทั้งด้านการจัดการข้อมูล ที่ครอบคลุมในด้านการจัดเก็บข้อมูล การส่งต่อข้อมูล การรักษาความลับข้อมูล ไปจนถึงแง่มุมทางกฎหมาย และจริยธรรมที่เกี่ยวข้องด้วย

 

ในการหาลำดับสารพันธุกรรมในมนุษย์ (Genomics Sequencing) มีความจำเป็นจะต้องริเริ่มให้เกิดขึ้นในทุกประเทศ ไปพร้อม ๆ กับการศึกษาข้อมูลทางมานุษยวิทยา(Anthropology)  เนื่องจากมีลักษณะทางชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ สิ่งที่คาดว่าคนไทยจะได้เห็นความคืบหน้าจาก "โครงการจีโนมิกส์ ประเทศไทย"(Genomics Thailand) อย่างแน่นอนในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ คือ การเดินหน้าเก็บข้อมูลในคนไทยจำนวน 50,000 คน เพื่อนำมารวบรวมที่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำหรับนักวิจัยที่เกี่ยวข้องภายในประเทศได้ใช้เป็นฐานข้อมูลกลางต่อไป

 

โดยประชากรซึ่งอยู่ในกลุ่มเป้าหมายเร่งด่วน ที่จะได้เข้ารับการทำ Genomics Sequencing เป็นลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มเด็กที่เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติ ซึ่งให้การวินิจฉัยไม่ได้ตลอดไป จนถึงโรคที่อาจรู้จักกันอยู่แล้ว อาทิ โรคไทรอยด์และธาลัสซีเมีย ฯลฯ ซึ่งข้อมูลทางพันธุกรรมจะช่วยให้เด็กเหล่านี้มีโอกาสที่จะได้รับการรักษาที่หายขาดได้ 

 

นอกจากนี้ ยังได้มองไปที่กลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง และโรคติดเชื้อต่างๆ อาทิ COVID-19 และวัณโรค ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัย นำโดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์ อีกด้วย

 

 

"โครงการจีโนมิกส์ประเทศไทย" (Genomics Thailand) เป็น "ความพยายามของคนไทยเพื่อการมุ่งสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี และการได้รับการดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อคนไทย เพียงความเป็นเลิศทางการวิจัยด้านใดด้านหนึ่งหรือเพียงสถาบันเดียว ไม่อาจนำพาประเทศชาติให้สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยการมองไปที่จุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ เพื่อประโยชน์ของทุกคนในชาติ

 

 

 

และ "ความพยายามนั้น จึงจะสามารถแปลงเปลี่ยนเป็น "พลังที่จะทำให้เกิดสัมฤทธิ์ผลได้อย่างแท้จริง" เป็นคำกล่าวทิ้งท้ายจาก ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประสิทธิ์ ผลิตผลการพิมพ์  

photos : from internet 

 

(โปรดกดถูกใจเพจ Edunewssiam ด้านล่างขวา เพื่อรับข่าวสารอัพเดตในฟีดข่าว)