437 รร.ในสังกัด ปลดล็อกทรงผม -
ชุดนักเรียน ใส่อะไรก็ได้ 1 วัน/สัปดาห์
รายงานพิเศษ : ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom”gmail.com
นับเป็นนิมิตหมายในทางบวก เมื่อกรุงเทพมานคร (กทม.) ออกหนังสือถึงโรงเรียนในสังกัดกทม.จำนวน 437 แห่ง เพื่ออนุญาตให้โรงเรียนกำหนดการใส่ “ ชุดนักเรียนและไว้ทรงผมได้อย่างอิสระ” โดยมีเนื้อหาระบุว่า
เมื่อทาง กรุงเทพมหานคร ออกข้อกำหนดใหม่ อนุญาตให้นักเรียนโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร สามารถแต่งกายชุดใดก็ได้ที่ไม่เป็นการบังคับจำนวน 1 วันต่อสัปดาห์
หากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ก็สามารถใส่ชุดนักเรียนได้ตามความประสงค์ของนักเรียน โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจ ยึดหลักคำนึงถึงอัตลักษณ์ ความหลากหลาย ความเชื่อทางศาสนาและเพศวิถี
ซึ่งตามที่ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. 2551 ข้อ 15 กำหนดว่า สถานศึกษาใดจะกำหนดให้นักเรียนแต่งเครื่องแบบลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด นักศึกษาวิชาทหาร หรือแต่งชุดพื้นเมือง ชุดไทย ชุดลำลอง ชุดฝึกงาน ชุดกีฬา ชุดนาฏศิลป์ หรือชุดอื่นๆ แทนเครื่องแบบนักเรียนตามระเบียบนี้ในวันใด ให้เป็นไปตามสถานศึกษากำหนด โดยคำนึงถึงความประหยัดและเหมาะสมนั้
เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง จึงให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร จัดทำข้อกำหนดให้นักเรียนแต่งกายด้วยชุดใดก็ได้ที่ไม่เป็นการบังคับ อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ โดยให้นักเรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนด
จากนั้นให้นำไปประชาสัมพันธ์ให้ทราบเป็นการทั่วไป ก่อนนำไปประกาศใช้ โดยในกรณีที่มีนักเรียนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดังกล่าวได้ ให้เป็นไปตามความประสงค์ของนักเรียนผู้นั้น ที่จะสวมชุดนักเรียน ชุดพละ หรือชุดอื่นใดที่โรงเรียนกำหนดให้มีไว้อยู่แล้ว
แต่ห้ามไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งให้คำนึงถึงอัตลักษณ์ ความหลากหลาย ความเชื่อทางศาสนา และเพศวิถีของนักเรียน
ขณะที่แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับทรงผมของนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมาหนครนั้น ในหนังสือประกาศดังกล่าวระบุ ว่า เพื่อเป็นการเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน จึงให้โรงเรียนจัดทำข้อกำหนดแนวทาง ให้นักเรียนไว้ทรงผมอย่างอิสระบนพื้นฐานสุขอนามัยที่ดี สะอาดและส่งเสริมบุคลิกภาพ
หากกรณีมีนักเรียนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าวได้ ให้โรงเรียนรับฟังความคิดเห็นจากนักเรียน ผู้ปกรอง เพื่อทำความเข้าใจและตกลงร่วมกัน
แต่ห้ามลงโทษตัดผมนักเรียน ทำให้อับอาย หรือการดำเนินการใด ๆ ที่ทำให้เกิดความอับอายและกระทบต่อสิทธิ-เสรีภาพทางร่างกายและจิตใจของนักเรียน เช่น การตัดผม ทำให้อับอาย ฯลฯ
ยืนยันจาก นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า แนวทางดังกล่าวเป็นการใช้ครั้งแรก ต้องมีการประเมินว่ามีผลดีผลเสียอย่างไร กทม.พร้อมจะปรับปรุงให้ดีขึ้น
“แต่ถ้าไม่ได้ลองทำอะไรใหม่เลย สุดท้ายก็ไม่มีการคิด เด็กไม่ได้คิด ผู้ปกครองไม่มีส่วนร่วม กทม.ต้องกล้าทำในสิ่งที่ผิดไปจากเดิมมาก แต่ก็มีกรอบกติกาอยู่ สุดท้ายถ้าดีก็ทำต่อ ถ้ามีเรื่องปรับปรุงก็สามารถปรับปรุงได้ กทม.ยินดีรับคำติชมทุกอย่าง”
สอดรับในทิศทางเดียวกันจาก นายศานนท์ หวังสร้างบุญ รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า หัวใจหลักมีอยู่ 2 เรื่อง คือ
1.สิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชน ทำให้เด็กไปโรงเรียนอย่างมั่นใจ ถูกสุขอนามัย โดยแต่ละโรงเรียนสามารถออกกฎระเบียบร่วมกับนักเรียน
2.เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง โดย กทม.ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในการจัดซื้อเครื่องแบบให้นักเรียนปีละ 2 ชุด คือชุดนักเรียน 1 ชุด ชุดลูกเสือ-เนตรนารี ชุดพละ สลับกันปีละ 1 ชุด
กทม.จึงออกแนวทางกลางๆ อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ นักเรียนสามารถใส่ชุดอะไรก็ได้ที่สบายใจ อย่างชุดไปรเวต หรือชุดนักเรียน ชุดลูกเสือ ชุดพละ ซึ่งทางคุณครูสามารถนำโจทย์ตรงนี้มาให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยกัน
“ส่วนเรื่องทรงผม หัวใจหลักคือการไม่ลิดรอนสิทธิเด็ก เพราะเด็กบางคนถูกกล้อนผม โดนทำโทษ ทำให้เด็กไม่อยากมาโรงเรียน สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นคือ มีความเรียบร้อย เหมาะสม ถูกสุขลักษณะ สร้างความมั่นใจ แต่ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพ สิทธิมนุษยชนของนักเรียนด้วย” นายศานนท์กล่าวและว่า
เรื่องนี้เป็นเสียงของยุคสมัย ซึ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงสักวัน ถ้าไม่ทำอะไรเลยจะเกิดแรงต่อต้านเยอะก็ได้ วันนี้เราเอาเรื่องนี้มาคุยบนโต๊ะ ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และเรื่องความเหมาะสมเป็นเรื่องของความเข้าใจตรงกัน
คาดหวังว่า ผู้รับผิดชอบหลักอย่างเช่นกระทรวงศึกษาธิการ จะได้นำไปพิจารณาปรับปรุง กำหนดแนวทางให้ครอบคลุมรอบด้านมากยิ่งขึ้น
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าว edunewssiam
ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/edunewssiamfanpage