"เขย่าหลักสูตรการเรียนใหม่"
จันโททัย กลีบเมฆ : เขียน
อ่านข่าวที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยและเป็นรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งรัฐมนตรีมหาดไทย ดูแลทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ด้วย ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า จะต้องมีการเพิ่มเติมวิชาประวัติศาสตร์ วิชาหน้าที่พลเมือง และ วิชาจริยธรรม เข้าไปในหลักสูตรการเรียนการสอน เพื่อแก้ปัญหาการตกหลุมตกร่องของเด็กนักเรียนไทยมาร่วม 20 ปีแล้ว
ความจริงเรื่องนี้มิใช่เรื่องใหม่แต่ประการใด
เพราะเคยมีนักวิชาการรวมทั้งผู้รู้หลายท่าน ได้เสนอแนะกระทรวงศึกษามาจนปากเปียกปากแฉะ ตะโกนบอกผู้ใหญ่จนปากจะฉีกถึงรูหูอยู่แล้วว่า ต้องเพิ่มเติมวิชาดังกล่าวข้างต้นโดยเร็วเสียเถิด
ผมจึงเห็นว่า ไหน ๆ จะเพิ่มวิชาลงในหลักสูตรการเรียนการสอนในระดับประถมและมัธยมแล้วรวมถึงระดับอุดมศึกษาด้วย ก็น่าจะปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนเสียใหม่ให้รู้แล้วรู้รอดไปซะคราวเดียวกัน่าจะดีกว่าไหม
เพราะหลักสูตรที่ใช้กันมา 20-30 ปี แล้ว ไม่ทำให้เด็กไทยเจริญก้าวหน้าในหลายๆด้านได้ จึงควรเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการเรียนเสียใหม่จะเรียกว่า "ปฏิรูป" หรือ ก็น่าเบื่อแท้ เพราะได้ยินมาจนรำคาญเหลือเกิน
จะเรียกว่า "ปฏิวัติการศึกษา" ก็เหมือนจะรุนแรงเกินไป จะเรียกว่า "ปฏิสังขรณ์การศึกษา" ก็กระเดียดไปในทางพุทธศาสนา ที่จะมีการทั้งปะทั้งผุเพื่อซ่อมสร้างให้มันดีขึ้น
เอาเป็นว่า จะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ ขอให้มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการเรียนการสอนเสียใหม่
วันนี้ ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเพราะอยู่ในโรงเรียนประถมศึกษามาตลอดชีวิต จึงอยากให้หลักสูตรการเรียนในชั้นประถมศึกษาควรจะมีวิชาต่อไปนี้ก็เพียงพอแล้ว นั่นก็ คือ
1 วิชาภาษาไทย ซึ่งมีทั้งการอ่าน การคัด การเขียน การย่อความ การเรียงความและอ่านจับใจความ เป็นต้น
2 ภาษาอังกฤษ สอนเรื่องการสนทนาเป็นหลักน่าจะดีกว่า จะทำให้เด็กเข้าใจได้ง่าย ดูน่าจะเป็นที่สนใจและทำให้ไม่เบื่อหน่ายด้วย
3 สังคมศึกษา สอนเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย และ เรื่องราวของท้องถิ่นตนเองควรจะต้องรู้มากที่สุด
4 วิชาวิทยาศาสตร์ ในชั้น ป. 1 ถึง ป. 3 อาจให้เรียนวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อนมากนักและพอถึงป 4 จนถึงป 6 ค่อยสอนสิ่งที่ยากขึ้น หรือ สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นตามระดับ
5 วิชาพลศึกษา พวกเราอาจจะลืมไปว่า สำหรับเด็กชั้นประถมแล้วต้องใช้วิธี "เรียนปนเล่น" จึงจะดึงดูดให้นักเรียนไปโรงเรียนได้ทุกวัน ด้วยว่าธรรมชาติของเด็กอยากจะเล่น โดยเฉพาะเล่นกีฬาประเภทต่าง ๆ มิใช่หลักสูตรที่เรียงกันอยู่มีชั่วโมงพลศึกษาสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
แถมบางที ยังถูกครูประจำชั้น เอาชั่วโมงนี้ไปเรียนคณิต ไปเรียนวิทยาศาสตร์ หรือไปเรียนภาษาอังกฤษเสียอีก เด็กก็ยิ่งเบื่อโรงเรียน เบื่อชั้นเรียน และพลอยเบื่อครู เบื่อทุกอย่างไปในโรงเรียนด้วย
อย่าลืมว่า เมื่อ 50 ปีก่อน เราใช้การเรียนแบบ "เลข คัด เลิก" คือ ครึ่งวันเช้าเรียนวิชาเลขวิชาเดียว ตอนบ่ายเรียนคัด เขียน อ่าน แล้วก็ปล่อยกลับบ้าน เพื่อให้เด็กออกไปเล่นกีฬาตามใจชอบก็เห็นเด็กไทยประสบความสำเร็จกันดีนี่ครับท่าน
6 วิชาที่อยากให้เสริมเข้ามา คือ "วิชาเกษตรในครัวเรือน" เพื่อฝึกให้เด็กได้มีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปลูกพืชผักสวนครัวอย่างง่าย ๆ ในโรงเรียน ที่พอมีพื้นที่เด็กจะได้จดจำและไปปลูกเพื่อทำมาหากินในครอบครัวได้ด้วย ดีกว่าที่จะปล่อยให้เด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง
การเรียนสมัยปัจจุบันในระดับประถมศึกษา เขาเรียกว่าเป็นการเรียน "แบบยัดหมอน" คือ ใครว่าวิชาอะไรดี ก็จับมาสอนเด็กหมด ตั้งแต่เช้าจนเย็น ต่อด้วยเรียนพิเศษจนถึง 5-6 โมงเย็น แล้วไปต่อเรียนกวดวิชาวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันปิดภาคเรียนอีก จนยับยุ่งเหมือนยุงตีกันในสมองของเด็ก
ผมก็เพ้อเจ้อเสนอแนะไปตามความคิดเห็นของคนในกลุ่มกาแฟเท่านั้น ใครจะเห็นดีเห็นงามก็โปรดช่วยสนับสนุนด้วยก็แล้วกันนะครับ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการครับ
ขอบคุณมากครับ
จันโททัย
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าว edunewssiam ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/edunewssiamfanpage