สิริพงศ์ ร่วมถอดรหัสทวงคืนความยุติธรรม ให้นักเรียนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ย้ำ ศธ.ไม่ปกปิดความผิดครู

 

 

สิริพงศ์" ร่วมถอดรหัสทวงคืนความยุติธรรมให้นักเรียนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ย้ำ" ศธ.ไม่ปกปิดความผิดครู

  

เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2567 มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา ร่วมกันจัดกิจกรรมถอดรหัสทวงคืนความยุติธรรมให้นักเรียนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยมีการเสวนา ในหัวข้อ “ทางออกเพื่อโรงเรียนปลอดภัย ยุติปัญหาครูล่วงละเมิดทางเพศนักเรียน” 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางทิชา ณ นคร ที่ปรึกษามูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว กล่าวในช่วงหนึ่งว่า เด็กไทยยังมีความเสี่ยงที่จะถูกทำร้าย ถูกละเมิดทางเพศ ทั้งในบ้าน ในโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนซึ่งผู้ละเมิดทางเพศ คือ ครู คือพ่อแม่คนที่สองของเด็ก ๆ แน่นอนว่าครูส่วนใหญ่ เป็นครูที่ดีและตั้งใจจริง แต่ก็ยังมีคนบางส่วนที่แอบแฝงเข้ามาในคราบครู และคอยจ้องกระทำกับเหยื่อที่เป็นศิษย์ของตัวเองอย่างไร้สำนึก

 

โดยหลักฐานเชิงประจักษ์ คือ ศาลพิพากษาครู 4 คน รุ่นพี่ 2 คน ให้จำคุกตลอดชีวิต เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 แต่กว่าเหยื่อจะถูกเสริมพลังอำนาจทั้งพลังอำนาจทางใจ ทางความคิด ก็ต้องผ่านการถูกเบลมเหยื่อผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ เพื่อปิดปากเหยื่อที่สะท้อนระบบคิดชายเป็นใหญ่หรือผู้มีอำนาจถูกต้องเสมอ


การเบลมเหยื่อ คือ การปิดปากทางสังคมที่ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายถูกลดทอนมีสภาพเป็นแค่เสือกระดาษ เนื่องจากจะไม่มีผู้เสียหาย ผู้ถูกกระทำคนใดกล้าออกมาขอความช่วยเหลือหรือไปแจ้งความ เพราะการเบลมเหยื่อรอประหารพวกเขาอยู่ และนั่นเท่ากับการอนุญาตให้ผู้กระทำลงมือได้ต่อไป ปรากฏการณ์มุกดาหารชัดเจนมากในมิติการเบลมเหยื่อและระบบที่ดี ที่มีประสิทธิภาพที่กำลังตามหาต้องจัดการกับระบบนิเวศที่ขัดขวาง เพื่อปลดพันธนาการของผู้ถูกกระทำหรือเหยื่อให้ได้

 

นักเรียนที่ตกเป็นเหยื่อของครูต้องถูกให้ความสำคัญ ถูกจัดการด้วยข้อค้นพบใหม่ๆ ด้วยปัญญา ด้วยความกล้าหาญที่สำคัญผ่านการวิเคราะห์และสังเคราะห์อย่างรอบด้าน” นางทิชา กล่าว

 

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวตอนหนึ่งว่า เรื่องนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญมาก เพราะถือเป็นบ้านใหญ่ที่มีเด็กที่ต้องให้การดูแลจำนวนมาก และมีความหลากหลาย ซึ่งที่ผ่านมา ปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่มักเกิดกับโรงเรียนขยายโอกาส หรือโรงเรียนที่มีความพิเศษ เพราะเด็กจะมีความหลากหลาย และเป็นพื้นที่ที่คุณครูมักจะรู้สึกว่ามีอำนาจเหนือกว่า 

 

ดังนั้นทางกระทรวงศึกษาธิการ จึงวางแนวทางในการแก้ไขปัญหาค่อนข้างเยอะ และพยายามกำกับให้หน่วยงาน หรือองค์กรต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียนนั้น สามารถทำงานได้อย่างแท้จริง ทำให้เร็ว มีการติดตามประเมินผล และรับฟังความคิดเห็นที่สะท้อนกลับมา สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ กระทรวงศึกษากำลังพยายามปรับทัศนคติของคนในองค์กร ต้องไม่ช่วยกันปกปิดความผิด หรือปิดข่าวโดยเชื่อว่าเดี๋ยวเรื่องก็จะเงียบไปเอง

 

เรื่องนี้สำคัญและเป็นทุกองค์กรไม่เฉพาะหน่วยงานด้านการศึกษาเท่านั้น เพราะปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไข แต่ถูกเอาไปซุกใต้พรมจนวันหนึ่งจะดันเก้าอี้ออกมา กลับกันหากผู้อำนวยการทราบเรื่อง ต้องเร่งหาทางแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และรวดเร็วบนฐานของความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย

 

เริ่มจากการย้ายคู่กรณีออกจากพื้นที่โดยไม่ไปตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่ไม่ได้ให้ออกจากราชการ เพราะจะทำให้เขาว่าง เสี่ยงเข้าไปยุ่งกับพยาน ดังนั้นต้องให้ช่วยราชการ ต้องรายงานตัวทุกวัน


สิ่งหนึ่งที่ผมได้ยินเสียงเด็กสะท้อนมา คือ กรณีที่เราไปขยายผลต่อผ่านสื่อเป็นข่าวใหญ่ มีดราม่ามากซึ่งก็ไม่ผิดว่าอยากขับเคลื่อนสังคมไปทางไหน แต่การเอาเด็กไปใส่หมวกดำ แว่นดำ ให้เขาไปอยู่ตรงนั้น เขาก็ถามกลับว่า ทำไมเขาต้องมาเจอสภาพแบบนี้ ซึ่งทางกระทรวงพยายามมีแนวทางไม่อยากให้เด็กไปร่วมกระบวนการนี้ การสืบพยานเป็นกระบวนการหนึ่ง แต่ไม่ใช่การเอาเด็กไปใส่โม่งอยู่ตามหน้าสื่อ เพราะยิ่งเป็นการทำร้ายเด็กไปอีก” นายสิริพงษ์ กล่าว

 

ด้านนางมยุรี อึ้งตระกูล หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว จังหวัดขอนแก่น และอดีตหัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัว มุกดาหาร กล่าวว่า บ้านพักเด็กฯ เป็นหน่วยงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะเป็นสถานที่แรกรับเด็กที่ประสบปัญหาทางสังคมเข้ามาดูแลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต เสริมพลัง ซึ่งบางรายอาจจะดีขึ้นก่อน 90 วัน บางรายอาจจะนานกว่านั้น

 

ทั้งนี้อยากให้มีการเสริมทักษะในการแก้ไขปัญญา ทักษะในการปฏิเสธ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะส่วนใหญ่ที่เจอมาคือเด็กไม่กล้าแจ้งผู้ปกครอง เพราะผู้กระทำจะเป็นคนที่มีอำนาจเหนือกกว่า

 

ดังนั้นต้องฝึกเด็กให้มีทักษะเหล่านี้ และกล้าที่จะขอความช่วยเหลือจากคนที่เขาไว้ใจ ขณะที่ครอบครัวก็ต้องมีทักษะในการดูว่า มีความผิดปกติกับบุตรหลานหรือไม่ ต้องทำให้เกิดความไว้วางใจเริ่มจากเรื่องเล็กๆ ที่ปรึกษาหารือกันได้ เพราะเมื่อเจอปัญหาใหญ่เด็กๆ จะกล้าที่จะบอกเล่า

 

แทบทุกเคสจะเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย เราจะช่วยเรื่องการแจ้งความด้วย เพราะบางเคสถูกละเมิดโดยคนในครอบครัวเลยไม่มีการแจ้งความ ซึ่งการที่มีคนแจ้งให้เราเข้าไปช่วยเคสเยอะ ก็สะท้อนได้ว่าสังคมเริ่มที่จะไม่เพิกเฉยแล้ว แต่คิดว่ายังมีที่ต้องหลบซ่อนไม่กล้าขอความช่วยเหลืออยู่อีกไม่น้อย

 

"จึงอยากฝากว่าหากเกิดปัญหากับเด็กให้นึกถึงบ้านพักเด็กและครอบครัวในจังหวัด หรือโทรแจ้งได้ที่ 1300 ” นางมยุรี กล่าว

#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าว edunewssiam ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/edunewssiamfanpage