กสม.ชงนายกฯ ทบทวนปิดศูนย์เรียนรู้เด็กต่างด้าว หวั่นผลกระทบเป็นลูกโซ่

กสม. เรียกร้องสิทธิ 'บัตรทอง' ให้ได้รับการเข้าถึงทุกภาคส่วน

 

กสม.ชงนายกฯ ทบทวนปิดศูนย์เรียนรู้เด็กต่างด้าว หวั่นผลกระทบเป็นลูกโซ่

 

18 ต.ค.2567 - นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)​ เปิดเผยว่า กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีคำสั่งปิดศูนย์การเรียนรู้มิตตาเย๊ะบางกุ้ง เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2567 ส่งผลให้เด็กลูกหลานแรงงานเมียนมากว่า 1,100 คน ต้องหลุดออกจากการเรียนกลางคัน รวมถึงศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าวทุกแห่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานี และอีกหลายแห่งในพื้นที่อื่นทั่วประเทศต้องปิดตัวลงด้วยความวิตกและหวาดเกรงว่าจะมีการปิดศูนย์การเรียนรู้และดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทำให้เด็กนับหมื่นคนได้รับผลกระทบ

 

เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าว เมื่อเดือนก.ย. 2567 กสม. จึงได้จัดเวทีรับฟังข้อเท็จจริงและความเห็นจากหน่วยงานของรัฐ ผู้ทรงคุณวุฒิ และภาคประชาสังคม รวมทั้งลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อรับฟังข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยก่อนหน้านั้น กสม. ได้หารือกับหน่วยต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการจัดการศึกษาในศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าวอย่างเป็นระบบและองค์รวมโดยคำนึงถึงมิติที่รอบด้าน และเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งต่อเด็ก และสังคมไทยโดยรวม

 

ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 15 ต.ค. 2567 กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน มีมติเห็นควรให้แจ้งข้อพิจารณาตลอดจนข้อเสนอแนะกรณีดังกล่าวไปยังนายกรัฐมนตรี สรุปได้ดังนี

 

รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 54 ประกอบพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 บัญญัติให้รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลาสิบสองปี และมีหน้าที่กำกับ ส่งเสริมและสนับสนุนให้การจัดการศึกษาดังกล่าวมีคุณภาพโดยความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และองค์กรเอกชน สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ข้อ 13 และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ข้อ 3 ข้อ 28 และข้อ 29 ที่ให้การรับรองสิทธิของเด็กทุกคนให้ได้รับโอกาสทางการศึกษา เพื่อมุ่งไปสู่การพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ

 

จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลพบว่า สถานการณ์การสู้รบในเมียนมา ความขัดแย้งทางการเมือง และการบังคับเกณฑ์ทหาร ทำให้เด็กชาวเมียนมา โดยเฉพาะลูกหลานแรงงานเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดศูนย์การเรียนรู้ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศนับร้อยแห่ง แต่ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับครู นักเรียน รวมถึงรายละเอียดการเรียนการสอน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคง และความปลอดภัยของเด็ก

 

โดยศูนย์การเรียนรู้เหล่านี้ได้ทำหน้าที่ดูแลเด็กให้เข้าถึงสิทธิด้านการศึกษา และช่วยดูแลเด็กไม่ให้ตกอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิด ล่อลวง ชักนำไปในทางที่ผิด หรือเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ในด้านหนึ่งจึงเป็นการแบ่งเบาภารกิจของรัฐในการจัดการศึกษา และคุ้มครองเด็กเหล่านี้ การปิดศูนย์การเรียนรู้จะเป็นการส่งต่อปัญหา กล่าวคือ เมื่อเด็กหลุดจากระบบการศึกษา มีความเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิด เสี่ยงต่อปัญหายาเสพติด อาชญากรรม และการใช้แรงงานเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้า การลงทุน เศรษฐกิจของประเทศ และภาพลักษณ์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ

 

กสม. ยังพบปัญหาในเชิงกฎหมายว่า ศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าวไม่สามารถจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนตามกฎหมายว่าด้วยศูนย์การเรียนได้ เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องคุณสมบัติบางประการ เช่น ผู้ขอจัดการศึกษาต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทย หลักสูตรการศึกษาต้องสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางของไทย และภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาไทย ขณะที่สถานศึกษาของรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเอกชน ไม่มีความพร้อมที่จะรองรับเด็กต่างด้าว เนื่องจากหลักสูตรการเรียนการสอนไม่เป็นไปตามความต้องการของเด็กและผู้ปกครองที่ต้องการให้เด็กกลับไปเรียนต่อในประเทศเมียนมา รวมทั้งข้อจำกัดด้านงบประมาณ บุคลากร เกณฑ์อายุของผู้เรียน และภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร

 

อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเด็ก โดยเฉพาะสิทธิด้านการศึกษาและเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเด็ก หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่จังหวัดตาก รวมถึงฝ่ายความมั่นคง และภาคประชาสังคม สนับสนุนให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 จัดตั้งศูนย์ประสานงานการศึกษาเด็กต่างด้าว (Migrant Education Coordination Center: MECC) เพื่อขึ้นทะเบียนจดแจ้งศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว (Migrant Learning Center: MLC) โดยขณะนี้มี 63 ศูนย์ เด็กต่างด้าวกว่า 18,000 คน เช่นเดียวกับพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครที่หน่วยงานภาครัฐได้บูรณาการการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก และสังคมโดยรวม

 

ด้วยหลักการและเหตุผลดังกล่าว กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า การแก้ไขปัญหาศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว จำเป็นต้องคำนึงถึงมิติต่าง ๆ ให้รอบด้าน อาทิ ด้านความมั่นคง มนุษยธรรม สิทธิเด็ก สิทธิด้านการศึกษา มิติทางด้านแรงงาน เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และภาพลักษณ์ในเวทีระหว่างประเทศ นอกจากนี้ จะต้องมองปัญหาแบบองค์รวม บูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่ส่งต่อปัญหาอย่างเป็นลูกโซ่ จึงเห็นสมควรมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา

 

ระยะเร่งด่วน ให้ทบทวนมาตรการการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าวโดยให้สามารถจัดการเรียนการสอนไปพลางก่อนได้ ระหว่างการขึ้นทะเบียนจดแจ้งตามแนวทางที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ดำเนินการจดแจ้งศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว (MLC) ทั้งนี้ ให้มีการสอนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารด้วย และดำเนินการให้เด็กในศูนย์การเรียนรู้มิตตาเย๊ะบางกุ้ง และศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีที่ปิดตัวลงไปแล้ว มีทางเลือกที่จะกลับไปเรียนในศูนย์การเรียนรู้เดิม หรือในโรงเรียนที่หน่วยงานในพื้นที่เตรียมการรองรับไว้ให้ โดยให้สำรวจและจัดการให้เด็กได้เรียนภายในวันที่ 1 พ.ย. 2567 ซึ่งเป็นวันเปิดภาคเรียน

 

ระยะถัดไป จัดให้มีกฎเกณฑ์ว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนจดแจ้ง การขึ้นทะเบียนครู และนักเรียน รวมถึงการสอนภาษาไทย และให้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ในการดูแลเด็กทั้งด้านการศึกษา สาธารณสุข และการคุ้มครองสวัสดิภาพให้มีความปลอดภัยและไม่ถูกแสวงประโยชน์ โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภารกิจของรัฐในการจัดการศึกษาและคุ้มครองเด็กกลุ่มดังกล่าว