เเนะ'พ่อแม่' เข้ม 3 ด้าน สร้างเกราะในครอบครัว ลดเสี่ยงโควิด-19

Photos : UNICEF Thailand2021Bundit Chotesuwan

 

เเนะพ่อแม่เข้ม 3 ด้าน สร้างเกราะ

ในครอบครัว ลดเสี่ยงโควิด-19

 

ที่มา / สสส.

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยนักเรียนที่ติดโควิด ส่วนใหญ่ติดจากบุคคลในครอบครัว แม้อยู่บ้านก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข แนะพ่อแม่คุมเข้ม 3 ด้านสร้างเกราะป้องกันโควิด-19 ช่วยเด็กนักเรียนลดความเสี่ยงในการติดและการแพร่กระจายเชื้อจากครอบครัว

 

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย แจงว่า จากกรณีการแพร่ระบาด และการติดเชื้อโควิด-19 ภายหลังจากมีการเปิดภาคเรียนเมื่อวันที่ 14 มิถุนายที่ผ่านมาในหลายจังหวัดนั้น จากรายงานในเบื้องต้น พบว่า 

 

เด็กนักเรียนที่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่ติดจากบุคคลในครอบครัว ซึ่งหากพบว่าพ่อแม่มีความเสี่ยงสูงหรือเป็นผู้แยกกักตัว ต้องอยู่ร่วมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ทั้งเด็ก ผู้มีโรคประจำตัว และผู้สูงอายุภายในบ้านต้องสร้างเกราะป้องกัน 3 ด้าน เพื่อลดการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อ ดังนี้ 

 

1) ด้านสาธารณะ ให้หยุดงานไม่ออกไปนอกบ้านหรือที่พักอาศัย ไม่เดินทางไปที่ชุมชนหรือที่สาธารณะอย่างน้อย 14 วัน เลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดบุคคลอื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร หากทำไม่ได้หรือมีพื้นที่จำกัด ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาและไม่คลุกคลีกับเด็ก ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวและผู้สูงอายุในบ้านโดยเด็ดขาด 

 

2) ด้านอาหาร ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ ปรุงสุก สะอาด พักผ่อนให้เพียงพอและควรแยกการกินอาหารร่วมกัน ถ้าสั่งอาหารแบบเดลิเวอรีให้จัดเตรียมภาชนะรองรับอาหาร เช่นกล่องหรือโต๊ะแบบพับได้ สวมหน้ากากตลอดเวลาเมื่อออกมารับอาหาร และให้ยืนห่างจากผู้ขนส่งอาหารอย่างน้อย 1 เมตร ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์สำหรับทำความสะอาดมือหลังการรับอาหารจากคนขนส่งอาหาร และควรจ่ายค่าบริการโดยวิธี E-Payment หรือเตรียมเงินสดให้พอดี เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสเงินทอน   

 

3) ด้านสุขอนามัย ให้สวมหน้ากากตลอดเวลา กรณีการใช้ห้องน้ำ หากเป็นไปได้แยกใช้ห้องน้ำห้องส้วมออกจากผู้อื่น แต่หากไม่สามารถแยกห้องได้ให้ผู้อื่นใช้ห้องน้ำก่อน ส่วนผู้แยกกักตัวใช้เป็นคนสุดท้าย และทำความสะอาดให้เรียบร้อย พร้อมทั้งเปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้มีการระบายอากาศที่ดี และในแต่ละวันให้รวบรวมขยะ หน้ากากอนามัยไว้ในถุงก่อนทิ้งให้ใส่น้ำยาฟอกขาว 2 ฝา ก่อนใส่ถุงอีกชั้นปิดปากถุงให้สนิท

 

 

ทั้งนี้ ในส่วนสถานศึกษาที่ยังเปิดให้มีการเรียนการสอนขอให้คุมเข้มตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่การจัดการเรียนการสอนภายใต้ความปลอดภัย การตรวจคัดกรอง วัดอุณหภูมิในร่างกายเด็กนักเรียนทุกคนก่อนเข้าเรียน ให้เด็กล้างมือบ่อย ๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน ลดความแออัดในห้องเรียน และประเมินความเสี่ยงผ่านระบบ ไทยเซฟไทย ก่อนออกจากบ้านทุกวัน รวมทั้งให้แต่ละสถานศึกษาพิจารณารูปแบบการเรียนตามความเหมาะสมและความพร้อมของแต่ละโรงเรียน อาทิ รูปแบบออนไซต์คือมาเรียนที่โรงเรียน แต่หากโรงเรียนไหนมีนักเรียนจำนวนมาก อาจจะใช้วิธีสลับวัน หรือสัปดาห์ ผสมผสานกับการเรียนออนไลน์ และออนแอร์ไปด้วย จนกว่าสถานการณ์โควิดจะคลี่คลายลงเพื่อความปลอดภัยของครูผู้สอน และตัวนักเรียนเองด้วย

 

กรณีพบนักเรียน ครู หรือบุคคลากรทางการศึกษาติดเชื้อโควิด-19 โรงเรียนต้องเตรียมแผนเผชิญเหตุในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคในสถานศึกษา และต้องรีบแจ้งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ภายใน 3 ชั่วโมง เพื่อดำเนินการตามกระบวนการ และรายงานต่อผู้บริหาร ผู้เกี่ยวข้องต่อไป

 

 

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า ผลสำรวจออนไลน์เรื่องการรับรู้ของประชาชนเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในกลุ่มนักเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 12,345 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มนักเรียนอายุต่ำกว่า 15 ปี จำนวน 7,691 คน และกลุ่มนักเรียนอายุระหว่าง 15-21 ปี จำนวน 4,654 คน 

 

พบว่า ร้อยละ 74 รับรู้ว่าตนเองเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และคิดเห็นว่าตลาดคือจุดเสี่ยงมากที่สุด รองลงมา คือ สนามบิน โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้า ตามลำดับ นอกจากนี้ นักเรียน ร้อยละ 90.8 รับรู้เรื่องการใส่หน้ากากอนามัย เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการติดโรค และร้อยละ 95.7 รับรู้ว่าการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ สามารถลดความเสี่ยงต่อการติดโรคดังกล่าวได้ โดยส่วนใหญ่ร้อยละ 85.9 มีการล้างมือหลังออกจากบ้าน จึงต้องรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องต่อไป

 

“ทั้งนี้ สำหรับการล้างมืออย่างถูกวิธี 7 ขั้นตอน ทำได้ ดังนี้ 1) ฝ่ามือถูกัน 2) ฝ่ามือถูหลังมือและนิ้วถูซอกนิ้ว 3) ฝ่ามือถูฝ่ามือและถูกซอกนิ้ว 4) หลังนิ้วมือถูฝ่ามือ 5) ถูนิ้วหัวแม่มือโดยรอบด้วยฝ่ามือ 6) ปลายนิ้วมือถูฝ่ามือ และ 7) ถูรอบข้อมือโดยล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโรค 

 

ที่สำคัญต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า กินร้อน และใช้ช้อนกลาง เพื่อป้องกันสุขภาพตนเอง หากพบมีไข้ มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ และมีประวัติเดินทางไปในประเทศที่เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวมถึงผู้ที่สัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ป่วย ให้รีบพบแพทย์ทันที” อธิบดีกรมอนามัย กล่าว

 

(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)