ศธ.แถลงเปิดภาคเรียน 2 แนวโน้มมีทั้ง 5 On เผยแผนฉีดวัคซีนครู-น.ร.เดือน ต.ค.

 

 

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เป็นประธานแถลงข่าว “เตรียมความพร้อมเปิดภาคเรียนที่ 2/2564 สถานศึกษาปลอดภัย เด็กได้รับวัคซีนถ้วนหน้า” ร่วมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นพ.สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย รศ.(พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย และคณะผู้บริหารระดับสูง ศธ.

นางสาวตรีนุช กล่าวว่า ศธ.ได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างใกล้ชิด และมีการถอดบทเรียนจากการจัดการเรียนการสอน 5 รูปแบบ หรือ 5 On ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวทางการเปิดภาคเรียนที่ 2 ต่อไป ให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ซึ่งจากการหารือร่วมกันระหว่าง ศธ.กับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) เบื้องต้นมีแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2  ได้แก่ 1.แผนการฉีดวัคซีน Pfizer 2 เข็ม แก่กลุ่มผู้ที่มีอายุ 12 ปี จนถึง 17 ปี 11 เดือน 29 วัน ณ วันที่ฉีด โดยจะอนุโลมให้แก่กลุ่มนักเรียน นักศึกษาที่มีอายุเกิน 17 ปี 11 เดือน 29 วันด้วย ซึ่งจะครอบคลุมนักเรียน นักศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6  ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่า รวมถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีอายุ 12 ปี

โดยในเดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป จะเริ่มฉีดวัคซีน Pfizer ให้แก่นักเรียน นักศึกษาในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) จำนวน 29 จังหวัดก่อน แต่ตั้งเป้าหมายต้องการให้นักเรียน นักศึกษาทุกคนได้รับวัคซีน Pfizer เข็มที่ 1 อย่างครบถ้วน ซึ่งที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ชุดใหญ่ มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. เป็น ประธาน ได้อนุมัติในหลักการให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับนักเรียน นักศึกษาทุกสังกัดรวมจำนวนกว่า 4.5 ล้านคน

รมว.ศธ. กล่าวต่อว่า สำหรับแนวทางที่ 2.แผนการดำเนินโครงการโรงเรียน Sandbox Safety Zone in School (SSS) ซึ่งเป็นมาตรการสำหรับโรงเรียนประจำ เช่น โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และโรงเรียนเอกชนที่มีความพร้อม โดย ศธ.จะประสานกับ สธ.ในการลงพื้นที่ตรวจสอบโรงเรียนที่จะประสงค์เข้าโครงการว่า เป็นไปตามมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่วางไว้หรือไม่

ทั้งนี้ การเป็นโรงเรียน SSS มีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.เป็นโรงเรียนประจำ 2.เป็นไปตามความสมัครใจ และ 3.ผ่านการประเมินความพร้อมตามมาตรการป้องกันโควิด-19 โดยต้องแจ้งความประสงค์ผ่านต้นสังกัด มีการหารือร่วมกับผู้ปกครอง และผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จัดให้มีสถานแยกกักตัวในโรงเรียน (School Isolation) จัดให้มี Safety Zone ในโรงเรียน มีการติดตามประเมินผลโดยทีมตรวจราชการของ ศธ.และ สธ. รวมถึงมีการรายงานผลผ่าน MOE COVID และ Thai Stop Covid Plus

ในข​ณะนี้มีสถานศึกษาจำนวน 15,465 แห่ง ที่อยู่ในเขตพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด โดยใน 12 จังหวัด มีสถานศึกษาจำนวน 1,687 แห่ง ที่อยู่ในเขตพื้นที่ 45 อำเภอ ปลอดเชื้อ แบ่งเป็นสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 1,305 แห่ง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 111 แห่ง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 21 แห่ง และสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) 250 แห่ง

ซึ่ง ศธ.จะพิจารณาความพร้อมของสถานศึกษาสำหรับการเปิดภาคเรียนตามบริบทที่เหมาะสม โดย ศธ.ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของนักเรียน นักศึกษาเป็นอันดับแรก มีการปรึกษาและประสานงานกับ สธ.ให้เข้ามาช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด

รมว.ตรีนุช กล่าวตอนท้ายว่า ในการฉีดวัคซีนให้กับนักเรียน นักศึกษาจะเป็นไปตามความสมัครใจ ที่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน ซึ่ง ศธ.จะเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 รวมถึงวิธีการปฏิบัติก่อนและหลังการฉีดวัคซีน

"ส่วนการฉีดวัคซีนให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา ขณะนี้มีครูได้รับวัคซีนไปแล้วกว่า 70% โดยแผนการจัดสรรวัคซีนในเดือนตุลาคมนี้ จะให้สถานศึกษาส่งรายชื่อครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยังไม่ได้รับวัคซีนมาด้วย เพื่อเร่งจัดสรรวัคซีนให้กับกลุ่มครูต่อไปด้วย"

 

(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)