"รัชชัยย์"ชง"ตรีนุช"แจงละเอียด!แนวทาง ก.ค.ศ.ลดโทษผู้ต้องคดีสนามฟุตซอล

เนื่องในโอกาสวันครู! สมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ทำหนังสือถึง รมว.ตรีนุช วอนเร่งเยียวยา ขรก.ครูฯสพฐ.ต้องคดีสนามฟุตซอล สั่ง ก.ค.ศ.รีบพิจารณาอุทธรณ์ "รัชชัยย์" แจงละเอียด 4 ช่องทางบรรเทาโทษ

​​​​นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ นายกสมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา เปิดเผยกับ สำนักข่าวการศึกษา EdunewsSiam.com ว่า เนื่องในโอกาสวันครู ครั้งที่ 66 ประจำปี 2565 ตนในนามนายกสมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ได้ทำหนังสือส่งถึง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง ​รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๕ เรื่อง​ความเดือดร้อนของผู้ต้องคดีและผู้ถูกกล่าวหาทุจริตในโครงการก่อสร้างปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์ (สนามฟุตซอล) ปีงบประมาณ พ.ศ.2554 และปีงบประมาณ พ.ศ.2555 (งบแปรญัตติ) ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ผู้เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลในโรงเรียนพื้นที่ จ.นครราชสีมา และ สพฐ.ได้มีคำสั่งไล่ออกข้าราชการครููและบุคลากรทางการศึกษาผู้เกี่ยวข้องรวมจำนวน 65 คน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 

และล่าสุดเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 ป.ป.ช.ได้ทยอยเรียกผู้เกี่ยวข้องในโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลในโรงเรียนพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ มารับทราบข้อกล่าวหาเดียวกัน โดยผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดเป็นระดับบริหารในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) และผู้อำนวยการโรงเรียน (ผอ.ร.ร.) ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งมีทั้งผู้ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว และยังรับราชการอยู่ 

นายรัชชัยย์กล่าวว่า หนังสือที่ทำถึง น.ส.ตรีนุช รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ได้เรียกร้องให้เยียวยาช่วยเหลือผู้ต้องคดีและถูกกล่าวหาเหล่านี้ โดยระบุว่า "ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้มูลความผิดบรรดาผู้บริหารในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และผู้อำนวยการสถานศึกษาในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานไมีคำสั่งลงโทษไล่ออกบรรดาข้าราชการดังกล่าวจำนวนเกือบร้อยราย และอยู่ในระหว่างการไต่สวนของ ป.ป.ช.อีกนับร้อยรายในหลายๆ จังหวัด ความแจ้งแล้ว นั้น

สมาคมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ขอเรียนว่า สมาคมฯได้มีโอกาสพบพนักงานไต่สวนของ ป.ป.ช. และสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของบรรดาผู้ถูกกล่าวหาและผู้ที่ได้รับโทษในโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอล ได้รับทราบว่าหากพฤติกรรมเพียงแค่ “ส่อ” ก็จะชี้มูลความผิดแล้ว

จึงส่งผลให้บรรดาผู้ถูกกล่าวหาอาจได้รับโทษไล่ออกจากราชการ ไม่ได้รับเงินบำเหน็จบำนาญ รวมถึงเรียกคืนเงินบำเหน็จบำนาญที่เคยได้รับไปแล้ว เสียสิทธิในการรักษาพยาบาล ไม่มีเงินใช้จ่ายในการดำรงชีพ ไม่มีเงินชำระหนี้สหกรณ์และสถาบันการเงินต่างๆส่งผลให้บรรดาผู้ค้ำประกันเดือดร้อนไปทั่ว

ดังนั้น สมาคมฯจึงขอกราบเรียนเสนอแนะ น.ส.ตรีนุช รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ในการเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนเหล่านี้ โดยสั่งการให้เรียกประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) โดยเร็ว เพื่อพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ที่ได้รับโทษ ซึ่งมีแนวทางพิจารณาเยียวยาในประเด็นต่างๆ ได้ดังนี้

๑.ตรวจสอบว่า ป.ป.ช.ได้แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนและได้เริ่มการสอบสวนภายใน ๑ ปี นับตั้งแต่วันที่ข้าราชการผู้นั้นออกจากราชการหรือเกษียณอายุราชการหรือไม่ หากได้แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนพ้นระยะเวลา ๑ ปี นับแต่วันที่ข้าราชการผู้นั้นเกษียณอายุราชการหรือออกจากราชการไปแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ผู้บังคับบัญชาก็ไม่สามารถสั่งลงโทษได้ ทั้งนี้ เป็นไปตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๖๒ มาตรา ๑๐๒ วรรค ๒

แม้ว่า มาตรา ๑๐๒/๑ ของ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูฯดังกล่าว จะบัญญัติให้การดำเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษแก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้นั้น ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหาไม่ว่าผู้ถูกกล่าวหานั้นจะพ้นจากหน้าที่ราชการไม่ว่าจะก่อนหรือหลังจากที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดก็ตาม

แต่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยและมีมติว่า การสั่งลงโทษยังคงต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของกระทรวงศึกษาธิการ (แหล่งที่มา : หนังสือเวียนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร ๐๙๐๔/๒๓๖ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๔ และ มติของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ ๑๕๕๙/๒๕๖๔) ดังนั้น จึงขอให้ ก.ค.ศ.มีมติยกเลิกเพิกถอนคำสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหากลุ่มนี้และคืนสิทธิประโยชน์ให้โดยเร็ว

๒.ตรวจสอบว่าผู้ถูกกล่าวหารายใดได้รับโทษไล่ออกจากราชการหลังจากเกษียณอายุราชการเกินกว่า ๓ ปี กรณีนี้ขอให้ ก.ค.ศ.มีมติยกเลิกเพิกถอนคำสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหากลุ่มนี้และคืนสิทธิประโยชน์ให้โดยเร็ว ทั้งนี้ เพราะ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๖๒ มาตรา ๑๐๒ บัญญัติให้ผู้บังคับบัญชาต้องสั่งลงโทษภายในสามปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ และเป็นไปตามหนังสือเวียนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร ๐๙๐๔/๒๓๖ ลงวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๔ และมติของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ ๑๕๕๙/๒๕๖๔

​๓.เนื่องจากกฎหมาย ป.ป.ช.ได้บัญญัติไว้มีสาระที่กระทรวงศึกษาธิการต้องผูกพันและปฏิบัติตาม คือหาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ส่วนราชการจะต้องลงโทษในฐานความผิดวินัยอย่างร้ายแรง จะเปลี่ยนแปลงฐานความผิดไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ฐานความผิดวินัยอย่างร้ายแรงนั้น พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ มาตรา ๙๙ บัญญัติไว้มีสาระว่า กรณีที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงต้องลงโทษปลดออก หรือไล่ออก ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนผ่อนโทษห้ามมิให้ลดโทษต่ำกว่าปลดออก เห็นได้ว่าผู้มีอำนาจสามารถลงโทษในระดับปลดออกได้ จึงเห็นควรให้ ก.ค.ศ.มีมติลดโทษเป็นปลดออก เพื่อที่บรรดาผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวจะได้มีเงินบำนาญเพื่อใช้จ่ายในการดำรงชีวิต

ทั้งนี้ แม้จะมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าข้าราชการที่กระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการนั้นให้ลงโทษไล่ออกสถานเดียวก็ตาม แต่มติ ครม.ดังกล่าวขัดกับมาตรา ๙๙ แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ ที่ให้อำนาจผู้บังคับบัญชาสามารถลงโทษได้ในระดับไล่ออก หรือปลดออก

และคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยมีมติไว้ว่า “แม้ว่ามติคณะรัฐมนตรีจะมีผลผูกพันให้หน่วยงานของรัฐต้องดำเนินการก็ตาม แต่มติ ครม.ก็ไม่อาจขัดหรือแย้งกับกฎหมายได้ คงมีผลให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้เป็นไปตามมติ ครม.ดังกล่าวเท่านั้น (มติคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ ๓๔/๒๕๖๓ หน้าที่ ๙)

​๔.ตรวจสอบว่าสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีอำนาจสั่งลงโทษผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือไม่ อำนาจสั่งลงโทษเป็นของศึกษาธิการจังหวัดหรือไม่ และก่อนสั่งลงโทษต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) ในแต่ละจังหวัด หรือไม่

หากสำนักงานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไม่มีอำนาจสั่งลงโทษ หรือการไม่นำมติของ ป.ป.ช.เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ขอได้โปรดเสนอแนะให้ ก.ค.ศ.มีมติยกเลิกเพิกถอนคำสั่งลงโทษผู้ถูกกล่าวหากลุ่มนี้และคืนสิทธิประโยชน์ให้โดยเร็ว

อาศัยเหตุดังกล่าวข้างต้น จึงขอความเมตตาจาก น.ส.ตรีนุช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขอได้โปรดเยียวยาให้บรรดาผู้ถูกกล่าวหาทั้งที่ได้รับโทษไปแล้ว และที่ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของ ป.ป.ช.ทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อขวัญและกำลังใจของผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อรัฐ แต่ต้องมาตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและข้าราชการระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ จนได้รับความเดือดร้อนสิ้นเนื้อประดาตัวไปทั่ว​​​

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา และขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้"

 

(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)