การศึกษาไทยยากเหลือเกินจนเหลือกำลังลาก ต้องการคนฉุดพ้นหลุมดำ

 

การศึกษาไทยยากเหลือเกินจนเหลือกำลังลาก ต้องการคนฉุดพ้นหลุมดำ 

 

จันโททัย กลีบเมฆ อดีตศึกษานิเทศก์ 

 

ปกติไม่ว่ารัฐบาลชุดไหน จะไม่ค่อยมีพรรคการเมืองใด ที่จะขอดูแลกระทรวงศึกษาธิการหรอกครับ เพราะอาจจะปกครองยาก มีความสลับซับซ้อนที่บริหารงานยากเหลือเกินจนเหลือกำลังลากจริง ๆ

 

จึงเป็นสิ่งที่น่ายินดี เมื่อพรรคก้าวไกล ประกาศจับจองกระทรวงศึกษาธิการเอาไว้แต่ไก่โห่  ไม่ยอมให้พรรคการเมืองอื่นเข้าไปบริหารงาน คงเป็นเพราะที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงจากบรรดานักเรียนนักศึกษา และครูบาอาจารย์มากจนน่าพอใจ จึงอาสาเข้าครอบครองกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่เนิ่น ๆ

 

ครับ ในฐานะที่ คุณจันโททัย กลีบเมฆ อดีตศึกษานิเทศก์ ระดับรองผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา ศธ.ชื่อดังคนหนึ่ง อยู่ในวงการศึกษามาตั้งแต่หัวเกรียน จนขณะนี้หัวโกร๋นเหมือนนกตะกรุมแล้ว เขียนปัญหาหรือนำเสนอข้อบกพร่องที่เป็นแผลพุพองของกระทรวงศึกษา เพื่อให้พรรคก้าวไกล ได้เตรียมการแก้ไข อย่างน่าสนใจไว้เนิ่น ๆ ดังนี้

  

1 รัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ จะต้องมาจากคนในวงการศึกษาและมีประสบการณ์ด้านการบริหารการศึกษายิ่งดี อย่าไปเอาคนวงการอื่น เพราะตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมาเรามีรัฐมนตรีศึกษาจากคนวงการอื่น ทำให้การศึกษาเราอยู่ในหลุมดำขุดเท่าไหร่ก็ไม่ฟื้นจนปัจจุบันนี้ครับท่าน

 

2 การทุจริตคอรัปชั่นในกระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่ระดับโรงเรียนไปจนถึงระดับกระทรวง ท่านต้องหาหนทางแก้ไขหรือปราบปรามหรือทำอย่างไรก็ได้ ให้เบาบาง และ จืดจางลงไปในที่สุด เพราะขี้เกียจฟังข่าวการทุจริตในงานของกระทรวงศึกษาธิการครับ

 

3 ประเทศไทย มีโรงเรียนอยู่ประมาณ 30,000 กว่าโรงเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก 10,000 กว่าโรง คือ มีเด็กน้อยกว่า120 คน จะต้องแก้ไขคุณภาพและประสิทธิภาพของโรงเรียนขนาดเล็ก ไม่ว่าระดับประถมหรือระดับมัธยมให้ดีขึ้นกว่านี้

 

ยิ่งโรงเรียนที่อยู่ห่างไกลในเกาะในแก่นในป่าเขาลำเนาไพรในป่าลึก ซึ่งขาดแคลนไปเสียทุกอย่าง ควรจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างน้อยให้มีครูจะให้พอสอนก็ยังดี มิใช่มีชั้นเรียนอยู่แปดชั้นแต่มีครูทั้งโรงเรียนแค่สองถึงสามคนเท่านั้น มันก็ไม่ไหวหรอกครับท่าน ต้องแก้ไขให้ได้นะครับ ด้วยเป็นปัญหามาหลาย 10 ปีเต็มทีครับท่าน

 

4 ต้องขจัดงานเอกสารที่ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับกระทรวงไปจนถึงเขตพื้นที่การศึกษา ส่งไปให้โรงเรียนตะบี้ตะบันทำก็ยังไม่เสร็จออกไปเสียที เพราะงานเอกสารที่ให้ครูทำ แย่งเวลาการเรียนการสอนของครูไปเสียหมด ครูบางคนกลับไปบ้านยังมีอาการหลอนจากงานเอกสาร จนทนไม่ไหวต้องลาออกจากราชการ ไปทำมาได้ทำสวนยังดีกว่า เพราะขืนอยู่มีหวังประสาทรับประทาน

 

ขนาดโรงเรียนประจำจังหวัดอย่างกับโรงเรียนมัธยม ซึ่งมีครูเป็น 100 คน ยังบ่นว่าถ้ามีงานอื่นทำที่ดีกว่านี้ ก็จะลาออกจากข้าราชการครู เพราะฉะนั้นต้องตัดงานเอกสารที่ให้ครู ทำออกให้หมดครับคุณภาพการศึกษาจึงจะดีขึ้น

 

4 ต้องปรับปรุงและแก้ไขคุณภาพการศึกษาทุกระดับ ให้ดีขึ้นกว่านี้ เนื่องจากมีอยู่ในระดับต่ำมานานเต็มที หากจะจะปรับปรุงหลักสูตรการเรียนทั้งระดับประถมและมัธยมก็ควรรีบทำอย่าปล่อยให้นานช้า จนการศึกษาลงเหวไปมากกว่านี้ ต้องระดมสรรพกำลังจะแก้ไขให้ดีสักทีเถิดครับพ่อเจ้าประคุณทูนหัวทั้งหลายครับ

 

5 แก้ปัญหาการวิวาท บรรดาเด็กแว้น หรือวัยรุ่น ในวัยเรียน และยกขบวนไปตบตีกันชกต่อยกันทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียนหรือในที่ชุมชน ทำความเดือดร้อนให้พ่อแม่ผู้ปกครองและชุมชนจนเหลือกำลังลากจริง ๆ กล่องยาคงต้องมีไว้ตามจุดต่าง ๆ นะครับ

 

รัฐบาลไหนก็แก้ไม่ได้สักที ถ้าทันแก้ได้ จะถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างงดงามครับ ถ้ายังปล่อยให้วัยรุ่นยกพวกตีกันขว้างระเบิดใส่กันยิงปืนใส่กันอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ทราบว่าจะมีกระทรวงศึกษาหรือรัฐบาลไปทำไมกันครับท่าน

 

6 เรื่องการปรับปรุงวิทยฐานะของครู หรือให้ครูมีตำแหน่งสูงขึ้น ขอความกรุณาอย่าเปลี่ยนหลักเกณฑ์และวิธีการการประเมินและบ่อยนักสิครับ จนครูตามไม่ทันแล้วเนี่ย และเห็นว่า การประเมินวิทยฐานะครูโดยให้ครูทำเอกสารหลายเล่มหนา แต่ละเล่ม = หมอนหนุนหัว ครูทำไม่ไหวหรอกครับเจ้านาย เพราะครูไม่ใช่นักวิจัย ถนัดแต่สอนอย่างเดียว

 

แต่จะให้ทำแบบที่ทำอยู่ในปัจจุบันทำให้ครูบาดเจ็บล้มตาย เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตไปแล้วไม่รู้กี่คน และที่สำคัญก็ คือ การประเมินแบบทำเอกสารนี้ ไม่สามารถทำให้ครูเก่งขึ้นมาได้ รวมทั้งคุณภาพการศึกษาก็ไม่เห็นจะดีขึ้นสักนิดเดียว

 

พอครูทำไม่ไหว ก็ต้องใช้วิธีสุดท้าย คือ ไปจ้างเค้าทำ แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะครับ ท่านสารวัตรกำนันทั้งหลายครับ เอาแค่หกข้อดีก็แก้ไข ไม่ช่วยกันแก้ไขไม่ไหวแล้วนะครับ

 

ถ้ารัฐบาลนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้นได้ ท่านจะเป็นรัฐบาลชนิดชั่ว ฟ้าดินสลายครับ

 

 (โปรดกดถูกใจเพจ Edunewssiam ด้านล่างขวา เพื่อรับข่าวสารอัพเดตในฟีดข่าว)