"พริษฐ์ ก้าวไกล" ขาย 6 นโยบายการศึกษา ”วันเด็ก” ยกเครื่องหลักสูตร - คืนครูให้ห้องเรียน-ป้องกันตกหล่น หนุน“กองทุน กสศ.” สุดลิ่ม

 

 

"พริษฐ์ ก้าวไกล ขาย 6 นโยบายการศึกษา ”วันเด็ก” ยกเครื่องหลักสูตร - คืนครูให้ห้องเรียน -ป้องกันตกหล่น-น.ร.ร่วมประเมินร.ร.- หนุนกองทุนกสศ.” สุดลิ่ม

 

เมื่อวันที่ 13 มกราคม ที่พรรคก้าวไกล นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายปารมี ไวจงเจริญ ส.ส.บัญชีรายชื่อ  และ น.ส.ภัสริน รามวงศ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล แถลงข่าวเรื่องนโยบายการศึกษา ต้องการเห็นระบบการศึกษาที่ตอบสนองต่อ 3 เป้าหมายหลัก ประกอบด้วย การพัฒนาทักษะ-สมรรถนะ ความเสมอภาค และ  ความสุขหรือสุขภาวะทางร่างกายและทางสภาพจิตใจที่ดีของผู้เรียน โดยที่ทั้งสามเป้าหมายต่างสัมพันธ์กัน จะบรรลุแค่เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งไม่ได้  ประกอบด้วย

 

1) ควรมีการจัดทำหลักสูตรใหม่ที่เน้นทักษะสมรรถนะ ทำให้เด็กได้ใช้เวลาในการเรียนอย่างคุ้มค่า แปรเวลาเรียนให้เป็นทักษะที่ตอบโจทย์ในปัจจุบันมากขึ้น เนื่องจากระบบการศึกษาไทยอยู่ในสภาวะที่เรียนมากได้น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับแต่ละประเทศ มีจำนวนชั่วโมงเรียนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง แต่ระบบการเรียนการสอนของไทยไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ในการแปรเวลาเรียนเหล่านั้นให้ออกมาเป็นทักษะที่ตอบโจทย์ 

 

สาเหตุหนึ่ง คือ ปัญหาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่ได้เน้นหรือวางเป้าหมายในการพัฒนาทักษะสมรรถนะอย่างเพียงพอที่ยังไม่มีคำยืนยันว่ารัฐบาลชุดใหม่ จะมีการผลักดันหลักสูตรการศึกษาฉบับใหม่ให้สำเร็จภายในวาระ 4 ปี ทั้งจากคำแถลงนโยบายของรัฐบาล คำแถลงนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และในการตอบคำถามในสภาเมื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณในปี 2567  

 

สำหรับพรรคก้าวไกล หลักสูตรฉบับใหม่ จะเน้นทักษะสมรรถนะ ควรประกอบด้วย การปรับเป้าหมายและวิธีการสอน เช่น วิชาประวัติศาสตร์ที่เน้นทักษะการวิเคราะห์ วิชาภาษาอังกฤษที่เน้นทักษะสื่อสาร  ลดชั่วโมงเรียน การบ้าน หรือการสอบแข่งขันที่หนักเกินไป เพิ่มเสรีภาพในการเรียนรู้ เช่น ลดวิชาบังคับ เพิ่มวิชาทางเลือก และการเพิ่มการตรวจสอบโดยประชาชน เช่น การสร้างแพลตฟอร์มให้นักเรียนสามารถประเมินคุณภาพหนังสือเรียน รวมถึงการเปิดเผยข้อสอบย้อน TCAS หลังพร้อมเกณฑ์การให้คะแนนเพื่อให้มีความโปร่งใสมากขึ้น

 

2) ลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการสอน เพื่อคืนครูให้ห้องเรียน และให้นักเรียนมีเวลาอยู่กับครูมากขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะสมรรถนะที่สำคัญ มีการวิเคราะห์ออกมาว่า ประมาณ 40% ของเวลาครูถูกใช้ไปกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอน เช่น งานธุรการ การนอนเวร รวมถึงการต้องเขียนรายงานผลดำเนินงานตามนโยบายหรือโครงการต่างๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการตั้งขึ้นมา

 

3) ป้องกันการตกหล่นออกจากระบบการศึกษา ปัจจุบันการศึกษายังไม่ได้ฟรีจริง มีค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองทั่วประเทศต้องแบกรับอยู่ในการส่งลูกหลานเข้าสู่การศึกษา

 

ยกอ้าง กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เคยวิเคราะห์ไว้ว่า กลุ่มนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจน ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดที่จะตกหล่นจากระบบการศึกษา ปัจจุบันต้องแบกรับค่าใช้จ่ายแอบแฝงในการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าอุปกรณ์ ค่าชุดต่างๆ ถึงประมาณ 2,000-6,000 บาทต่อปี

 

ปัจจุบันมีสองโครงการที่พยายามเพิ่มเงินอุดหนุนให้กับนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจน คือ (1) ทุนเสมอภาค ซึ่งเป็นโครงการที่ กสศ. คัดกรองและจัดสรรโดยตรง และ (2) โครงการทุนปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจน ที่ กสศ.มาช่วยคัดกรอง โดย สพฐ.เป็นคนจัดสรรงบประมาณให้

 

ในส่วนของทุนเสมอภาค แม้งบประมาณปี 2567 มีการปรับอัตราต่อหัวขึ้นให้ก็จริง แต่เป็นการปรับขึ้นแบบขั้นบันได จาก 3,000 บาทต่อหัวเป็น 4,200 บาทต่อหัว แต่ไม่ได้ขึ้นทั้งหมดทันทีในปี 2567 แต่ใช้เวลา 3 ปีขึ้นเป็นขั้นบันได พรรคก้าวไกลจึงเสนอว่า แทนที่จะขึ้นแบบขั้นบันไดควรเป็นการขึ้นทันทีให้เป็น 4,200 บาท

 

ในส่วนทุนปัจจัยขั้นพื้นฐานฯ พรรคก้าวไกลเสนอว่าควรมีการขยายสองด้าน คือ ขยายให้เด็กยากจนที่ตกสำรวจ 1 ล้านคน และขยายจากปัจจุบันที่ได้แค่เพียงชั้นประถมกับมัธยมต้น ให้เด็กในระดับก่อนประถมและมัธยมปลายได้รับด้วย ซึ่งข้อเสนอสำหรับทั้งหมดนี้จะใช้งบประมาณรวมกันไม่เกิน 3-5 พันล้านบาทต่อปี

 

4) การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างโรงเรียน เนื่องจากปัจจุบันโรงเรียนเกินครึ่งหนึ่งของประเทศเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ที่หลายครั้งขาดแคลนอุปกรณ์และขาดแคลนครู ปัญหาในปัจจุบันเป็นปัญหาครูกระจุกโรงเรียนกระจัดกระจาย แม้สัดส่วนนักเรียนต่อครูในระบบทั้งหมด (16.9 : 1) ดูเหมือนว่าครูในภาพรวมจะเพียงพอที่ แต่ปัญหา คือ การกระจายตัวของครูมีปัญหาจนทำให้มีครูไม่ครบทุกระดับชั้น

 

ดังนั้น จึงควรต้องมีการเพิ่มการกระจายตัวของครู เช่น การใช้แรงจูงใจและค่าตอบแทนพิเศษให้ครูในการไปทำงานในพื้นที่ที่อาจจะขาดแคลนครูมากขึ้น รวมถึงการลดความกระจัดกระจายของโรงเรียน โดยการหาทางออกร่วมกันในการบริหารกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็ก ปรับการจัดสรรงบประมาณให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น แก้ระเบียบให้โรงเรียนแบ่งปันทรัพยากรได้ง่ายขึ้น และรับประกันค่าเดินทางและบริการรับ-ส่งที่เพียงพอ เป็นต้น

 

5) คุ้มครองสุขภาพกาย-สุขภาพใจ-ความปลอดภัยของนักเรียน ปัจจุบันยังคงมีข่าวเรื่องความไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในกรณีโรงเรียนที่แม่ฮ่องสอน ที่มีกลุ่มนักเรียนประท้วงการปฏิบัติหน้าที่ของ ผอ. จากกรณีอาหารกลางวันในโรงเรียนมีปริมาณและคุณภาพให้สอดคล้องกับงบประมาณ โดยมีการตั้งคำถามว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นหรือไม่ รวมถึงท่าทีของ ผอ.ที่ตอนแรกมีเจตนาจะฟ้องนักเรียนด้วย พ.ร.บ.คอมพ์ อีก

 

ดังนั้น ในส่วนของปัญหาสุขภาพกาย พรรคก้าวไกลเสนอให้-ขยายเงินอุดหนุนค่าอาหารกลางวันให้นักเรียนมัธยม โดยอาจเริ่มต้นจากการขยายให้นักเรียน ม.ต้น ในโรงเรียนขยายโอกาส สังกัด สพฐ.ทุกแห่ง ซึ่งจะใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี

 

ส่วนในด้านปัญหาสุขภาพจิต สิ่งที่ทำได้ คือ การเสริมทักษะให้คุณครูสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นได้ว่า นักเรียนที่มีอาการแบบใดมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิต เพื่อช่วยคัดกรองให้นำไปสู่การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ เช่น การมีคลินิกเยาวชนให้สามารถขอคำปรึกษาเรื่องปัญหาสุขภาพจิตได้โดยไม่ต้องรายงานต่อผู้ปกครองหรือครู เป็นต้น

 

และในส่วนของความปลอดภัย ควรยกระดับกลไกเอาผิดทางวินัยกับครูที่ใช้ความรุนแรงกับนักเรียน ปรับเกณฑ์ประเมินผลงานของผู้บริหารในระดับเขตพื้นที่ให้สอดคล้องกับมาตรการดังกล่าว และเพิ่มการรับรู้และประสิทธิภาพของ MoE Safety Center ในการรับมือกับเรื่องร้องเรียน

 

6) เพิ่มการมีส่วนร่วมของนักเรียน ทั้งในและนอกสถานศึกษา โดยมาตรการในสถานศึกษาอาจรวมถึงการที่คณะกรรมการสถานศึกษามีตัวแทนนักเรียนให้มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงเปิดให้นักเรียนสามารถร่วมประเมินครูหรือโรงเรียนในฐานะผู้ได้รับบริการทางการศึกษาได้

 

สำหรับมาตรการเพิ่มการมีส่วนร่วมนอกโรงเรียน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ กำลังศึกษาอยู่ รวมถึงการปฏิรูปสภาเด็กและเยาวชนให้ตอบโจทย์เยาวชนมากขึ้น โดยมีที่มาจากการเลือกตั้งจากเด็กและเยาวชนโดยตรง มีความเป็นอิสระจากรัฐ เพิ่มอำนาจในการผลักดันนโยบาย-เสนอร่างกฎหมายไปที่สภา-ตั้งกระทู้ถามไปที่ฝ่ายบริหาร เป็นต้น

 

นายพริษฐ์กล่าวว่า สำหรับพรรคก้าวไกล ในช่วงต้นปีต่อจากนี้ มีอยู่ 3 เรื่องที่เราจะทำในฐานะฝ่ายค้านเชิงรุกเพื่อผลักดันนโยบายการศึกษา นั่นคือการยกร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อวางหลักประกันในการแก้ปัญหาที่พูดมาข้างต้น รวมถึงการใช้กลไกกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็นกรรมาธิการงบประมาณหรือกรรมาธิการการศึกษา และการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายอื่นที่อาจเกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของเด็ก เช่น การนำเสนอ พ.ร.บ.ห้ามตีเด็ก เป็นต้น

 

จาก "คำขวัญนายกฯ ที่มีข้อความว่า 'มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย' เป็นเป้าหมายที่ดี แต่จะสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อมีการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ เด็กจะ 'มองโลกกว้าง' ได้ นายพริษฐ์ กล่าว

 

#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าว edunewssiam ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/edunewssiamfanpage