"เสมาโพล"ชี้ผู้ปกครองไม่มั่นใจฉีดวัคซีนโควิด-19 น.ร.แล้ว ไป ร.ร.ได้ตามปกติ?

"เสมาโพล"สำรวจผู้ปกครองทุก จว. 2.7 หมื่นคน ส่วนใหญ่ต้องการให้บุตรหลานอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แต่ไม่มั่นใจทำให้ไปโรงเรียนได้ตามปกติ?

เว็บไซต์กลางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) https://www.moe.go.th/ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสารสู่สาธารณะ "เสมาโพล" โพลด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ โดยเปิดเผยสรุปผลการสำรวจ “ความคิดเห็นของผู้ปกครอง ต่อการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับนักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี”

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากที่รัฐบาลมีนโยบายฉีดวัคซีน้องกันโรคโควิด-19 ให้กับนักเรียนที่มีอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่นักเรียน และหวังให้กลับมาดำเนินชีวิตตามปกติสุขได้โดยเร็วที่สุด

กระทรวงศึกษาธิการ โดย “เสมาโพล” จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีบุตรหลานวัยเรียนในช่วงอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี เพื่อให้รัฐบาล กระทรวงศึกษาธิการ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา ไดด้นำข้อมูลไปใช้ในการวางแผน กำหนดนโยบาย/มาตรการ แนวทางการติดตามประเมินผล และการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ปกครองนักเรียนในการฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และทำให้สถานศึกษาเป็นที่ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่สุดสำหรับนักเรียน

โดยการสำรวจครั้งนี้ ได้สอบถามผู้ปกครองที่มีบุตรหลานวัยเรียนในช่วงอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 26,793 หน่วยตัวอย่าง โดยอาศัยแผนการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) และเก็บรวบรวมข้อมูลในรูปแบบการสำรวจออนไลน์ ในช่วงวันที่ 14-18 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองต่อประเด็น “การฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนที่มีอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี” พบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ ร้อยละ 58.6 ต้องการให้บุตรหลานฉีดวัคซีน, รองลงมาร้อยละ 22.6 ระบุว่า ไม่ต้องการให้บุตรหลานฉีดวัคซีน และร้อยละ 18.8 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ

ประเด็น "สิ่งที่เป็นห่วงหรือกังวลที่สุดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้กับบุตรหลาน" ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ร้อยละ 65.1 ระบุว่า มีความกังวลเกี่ยวกับอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน, รองลงมา ร้อยละ 17.5 มีความกังวลเกี่ยวกับความรับผิดชอบ กรณีนักเรียนมีอาการผิดปกติ, ร้อยละ 7.0 มีความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน, ร้อยละ 4.9 มีความกังวลเกี่ยวกับความพร้อมด้านร่างกายของบุตรหลานก่อนฉีดวัคซีน/บุตรหลานมีสุขภาพไม่แข็งแรง, ร้อยละ 0.3 มีความกังวลเกี่ยวกับความยุ่งยากซับซ้อนของขั้นตอนการเข้ารับบริการฉีดวัคซีน

ส่วนผู้ปกครองร้อยละ 5.2 ระบุว่า ไม่มีข้อกังวล

ประเด็น "ความต้องการด้านสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19" ผู้ปกครองที่มีความต้องการให้บุตรหลานฉีดวัคซีนโควิด-19 ส่วนใหญ่ร้อยละ 60.8 ต้องการให้ฉีดวัคซีนที่โรงเรียน, รองลงมาร้อยละ 29.1 ต้องการให้ฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาล และร้อยละ 10.1 ต้องการให้ฉีดวัคซีน ณ ศูนย์บริการหรือหน่วยบริการ

ประเด็น "ความต้องการด้านวิธีการตรวจหาเชื้อโควิด-19" ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.8 ระบุว่า ต้องการให้ใช้วิธีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในนักเรียนด้วยการตรวจน้ำลาย, รองลงมาร้อยละ 23.9 ต้องการให้ใช้วิธีการแยงจมูก (Swab), ร้อยละ 2.2 ต้องการให้ใช้วิธีการตรวจเลือด และร้อยละ 2.1 ระบุว่า ไม่ต้องการให้ตรวจหาเชื้อโควิด-19

ประเด็น "ความเชื่อมั่นต่อนโยบายฉีดวัคซีนให้นักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี เพื่อให้สามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ" ผู้ปกครองส่วนใหญ่ ร้อยละ 45.7 ยังไม่แน่ใจว่าการฉีดวัคซีนให้นักเรียนอายุ 5-ไม่เกิน 12 ปี จะทำให้บุตรหลานสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ, รองลงมาร้อยละ 34.0 เชื่อมั่นว่าการฉีดวัคซีนจะทำให้บุตรหลานสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติและร้อยละ 20.3 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นว่าการฉีดวัคซีนจะทำให้บุตรหลานสามารถกลับไปเรียนได้ตามปกติ

เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างพบว่า ตัวอย่างร้อยละ 77.2 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคกลาง, ร้อยละ 8.5 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคเหนือ, ร้อยละ 7.5 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคใต้, ร้อยละ 2.8 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, ร้อยละ 2.2 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตภาคตะวันออก และร้อยละ 1.8 เป็นผู้ปกครองของนักเรียนในเขตกรุงเทพมหานคร

ตัวอย่างร้อยละ 31.4 ประกอบอาชีพค้าขาย/ประกอบธุรกิจส่วนตัว, ร้อยละ 26.9 ประกอบอาชีพพนักงาน/ลูกจ้างเอกชน, ร้อยละ 15.4 ประกอบอาชีพข้าราชการ/พนักงานราชการ/ลูกจ้างของรัฐ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ, ร้อยละ 10.6 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ขับรถรับจ้าง/กรรมกร, ร้อยละ 8.6 ประกอบอาชีพเกษตรกร และร้อยละ 7.1 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/ว่างงาน

ตัวอย่างร้อยละ 68.0 เป็นผู้ปกครองที่มีบุตรหลานในความดูแลรับผิดชอบ จำนวน 1 คน, ร้อยละ 27.6 มีบุตรหลานในความดูแลรับผิดชอบ จำนวน 2 คน, ร้อยละ 3.3 มีบุตรหลานในความดูแลรับผิดชอบ จำนวน 3 คน และ ร้อยละ 1.1 มีบุตรหลานในความดูแลรับผิดชอบ จำนวนมากกว่า 3 คนขึ้นไป

 

(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)