หลักสูตรล้มเหลวหรือ? ข้อคิดเพื่อแก้วิกฤติการศึกษาไทย จาก: จันโททัย กลีบเมฆ

 

❝ หลักสูตรล้มเหลวหรือ 

โดย: จันโททัย กลีบเมฆ 

อดีตผู้บริหารการศึกษาในระดับพื้นที่คนหนึ่ง นำเสนอข้อคิดดีๆ เป็นแนวทางในการแก้วิกฤติการศึกษาไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่รับรู้กันมานมนาน...

หลักสูตรการศึกษาของไทยในระดับประถมศึกษาพูดกันมานานนมแล้วว่าประเทศไทยให้เด็กเรียนตั้งแปดวิชาดูมันมากเกินไปแถม เมื่อ 20 ปีก่อนเห็นจะได้เราดันไปเลิกเรียนวิชาดีดีเสียงั้นแหละตั้งแต่นั้นมาเมืองไทยอยู่ในอาการ “เจ๊ง” มาตลอดไม่ว่าจะเป็นการศึกษา ศาสนา วัฒนธรรมสุขภาพร่างกายความคิดความอ่านตกต่ำมาตลอดจนพูดกันมายาวนานจนเหนียงยานแล้วว่าการศึกษาไทยรั้งท้ายประเทศในอาเซียน ก็จะไม่ให้รั้งท้ายเป็นที่โหล่ได้อย่างไรในเมื่อเราไปเลิกเรียนวิชาดีดีเสียงั้น...

 

วิชาเหล่านี้ก็เช่น  

1 คัดไทย พูดกันว่าคนไทยในยุคนี้เขียนตัวหนังสืออ่านยากเขียนเหมือนตัวถั่วงอกเพราะในโรงเรียนไม่ค่อยให้มีการคัดไทยทั้งตัวบรรจงเต็มบรรทัดและบรรจงครึ่งบรรทัดนักวิชาการบอกว่าไม่รู้จะทักไปหาด้ามสั้นด้ามยาว ที่ไหนแม้แต่การจับดินสอเผื่อเขียนหนังสือคนไทยก็จับดินสอหรือปากกากันแบบแปลกแปลกทั้งนั้น

2 เขียนไทย ก็คือเขียนหนังสือไทยกันไม่ค่อยจะถูกเคยเห็นนักศึกษาราชภัฎเขียนแม่น้ำปิงกลายเป็น “แม่น้ำปลิง”จนอาจารย์ราชภัฎเองก็ยังบ่นว่าลูกศิษย์เราเขียนหนังสือไม่ถูกขนาดนี้เชียวหรือแม้แต่การเว้นวรรคตอน ก็เว้นไม่ถูกหลักภาษาจนตัวตลกเอาไปล้อเลียนกันเป็นประจำ เด็กไทยเขียนหนังสือไทยผิดๆถูกถูกผิดความหมายผิดหลักภาษาเพราะเราดันไปเลิกเรียนวิชานี้

เนื่องจากนักวิชาการที่จบมาจากต่างประเทศ บอกว่าไม่รู้จะเรียนวิชานี้ไปหาพระแสงของ้าวที่ไหนกัน จนเป็นที่หนักใจทั้งผู้ปกครองและครูบาอาจารย์ครับ

3 วิชาอ่านเอาเรื่อง ก็บอกให้เลิกเรียน 20 กว่าปีมาแล้วอาจกว่านั้นด้วยซ้ำที่นักวิชาการบอกว่าคนไทยอ่านหนังสือคนละวันละแปดบรรทัดเท่านั้น น่าวังเวง นะครับท่านสารวัตร คนไทยจึงกลายเป็นคนที่ไม่รักการอ่านไม่ชอบการอ่านหนังสือจนเกิดความรู้ความคิดที่ตกต่ำลงไปมาก คนไทยกลายเป็นคนที่อ่านแล้วจับใจความไม่ได้ไม่รู้. เน้นจุดเด่นของเรื่องที่อ่านไม่นิยมไม่ส่งเสริมไม่สนับสนุนให้เด็กเด็กเกิดการอ่านเด็กไทยจึงความรู้แคบและไม่กว้างขวางจะบีบจะเค้น จะบังคับอย่างไรเด็กก็ไม่อยากอ่าน จนกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่เกลียดการอ่านอย่างนี้แหละครับพ่อเจ้า ประคุณทูนหัวทั้งหลายครับ

4 ให้เลิกเรียนวิชาเรียงความและย่อความ เด็กไทยและคนไทยในยุคนี้จึงเป็นโรคติดต่อที่เขียนหนังสือประโยคยาวยาวไม่เป็น กลัวการให้เขียนเรียงความเป็นที่สุดแม้แต่ครูให้ย่อความ จากเรื่องราวที่ครูให้มา เด็กก็ยอมไม่เป็นสิแล้วจนเติบโตไปรับราชการก็เขียนรายงานแทบไม่เป็น สรุปใจความจากเรื่องที่อ่านมาก็ไม่ได้ นักวิชาการต่างบอกว่าไม่รู้จะเรียนวิชานี้ไปห่าหม้อข้าวหม้อแกงที่ไหนกัน

5 วิชาสุขศึกษาและพลศึกษา มีเรียนกันน้อยมากเพราะไม่เห็นความสำคัญ จึงเติบโตมาจากเด็กเป็นผู้ใหญ่มีแต่โรคภัยไข้เจ็บรุมเร้าร่างกายจนอ่วมอรทัย สร้างโรงพยาบาลใหญ่โตแค่ไหนจังหวัดละหลายโรง ก็ยังไม่พอรับคนไข้

เราขาดการให้ความรู้เรื่องอาหารการกินมันจึงเข้าตำราที่ว่า “ กินยาเป็นอาหารมิใช่ กินอาหารเป็นยา” คนไทยขี้เกียจออกกำลังกายบอกว่าไม่มีเวลาเสียงั้นแหละ คนไทยจึงกลายเป็นคนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เราไม่ส่งเสริมเด็กนักเรียนให้เล่นกีฬาดัง แต่อยู่ชั้นประถมเราจึงเห็นแต่เด็กที่รูปร่างดีสูงใหญ่ล่ำสันไปเดินพาเหรดเสียนี่ ปล่อยให้คนเตี้ยม่อต้อไปเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ เช่น นิวัฒน์ ศรีสวัสดิ์, แก้ว โตอดิเทพ หรือแม้แต่ สะสม พบประเสริฐ เป็นนักฟุตบอลทีมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ.

คนไทยกลายเป็นคนขี้โรค ทุกอวัยวะมีอันเป็นไปกันแทบทั้งนั้น แถมวิชาพละศึกษา ก็ยังถูกเอาไปเรียนวิชาอื่นอีก จนเด็กเด็กพากันเบื่อหน่ายว่าเมื่อไรจะได้ชั่วโมงพลศึกษากลับมาเสียที

6 วิชาทำแปลงพืชผักสวนครัว แต่ก่อนนี้โรงเรียนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ มักจะให้เด็กทำแปลงแล้วปลูกพืชผักสวนครัวง่ายง่ายให้ผลเร็ว เพื่อให้เด็กรู้จักการปลูกพืชผักและดูแล ต้นไม้ใบหญ้า น่าเสียดายที่ไม่มีวิชานี้แล้ว คนไทยจึงปลูกพืชผักสวนครัวไม่เป็น ทำอาหารนิดหน่อยก็ต้องควักกระเป๋าซื้อต้นหอมผักชีตะไคร้พริกขี้หนู หรือแม้แต่กล้วยมะละกอ ก็ปลูกกันไม่เป็นแล้ว 

ในเมื่อหลักสูตรไม่พูดถึงวิชานี้ โรงเรียนจึงไม่สนใจเพิ่งจะมาเห็น List การปลูกพืชผักสวนครัวอีตอนเศรษฐกิจย่ำแย่ 

ความจริง รัฐบาลน่าจะให้ความสำคัญเรื่องพืชผักสวนครัวโดยเฉพาะ เกษตรจังหวัดเกษตรอำเภอเกษตรตำบล ควรจะต้องเป็นผู้นำในการปลูกพืชผักสวนครัว และแม้แต่ผู้บริหารโรงเรียน ถ้าในบ้านมีพื้นที่ ก็ควรสนับสนุนให้ปลูกพืชผักสวนครัวหรือรั้วกินได้เป็นตัวอย่างแก่เด็กเด็ก และเยาวชนรุ่นหลัง  ไม่งั้นอะไรนิดอะไรหน่อยก็ต้องควักกระเป๋าซื้อทั้งนั้น จะมีให้ยากจนข้นแค้น กระทั่งต้องแก้ผ้าขี้ได้ยังไงเหรอครับแม่เจ้าประคุณทูนหัว 

6 วิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ก็ไม่เห็นความสำคัญโดยเฉพาะเรื่องราวที่เป็นเรื่องน่าสนใจในท้องถิ่นของตัวเอง เช่น ภูเขา แม่น้ำ ลำคลอง วัดวาอาราม หรือ ถ้ำ ที่น่าสนใจและมีชื่อเสียงก็ไม่ให้เด็กเรียนรู้จนเติบใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าในท้องถิ่นตัวเองมีอะไรสลักสำคัญบ้าง

ยกตัวอย่างเช่นในเมืองกาญจน์ จะมีเด็กหรือผู้ใหญ่สักกี่คนที่ทราบว่า แควน้อยแควใหญ่ที่ไหลมารวมกันเป็นแม่น้ำแม่กลอง มีชื่อทางราชการว่าอย่างไร เพราะเราไม่ให้ความสำคัญวิชาประวัติศาสตร์ ก็เหมือนกันคนไทยไม่รู้จักรากเหง้าของตัวเองว่าเป็นมาอย่างไร จึงขาดความภาคภูมิใจในประเทศของตัวเอง ไม่รู้จักคนสำคัญของไทยในประวัติศาสตร์ ที่สละเลือดเนื้อรักษาชาติบ้านเมืองเอาไว้ได้

แม้แต่พันท้ายนรสิงห์เด็กก็บอกว่าเป็นชื่อของน้ำพริกเผาหรือสีในธงชาติไทยแต่ละสีมีความหมายถึงอะไรเด็กก็ตอบไม่ได้ คนไทยเดี๋ยวนี้จึงขาดความภาคภูมิใจและหยิ่งใน ศักดิ์ศรีของความเป็นไทย

7 ไม่มีวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม คนไทยเดี๋ยวนี้ซึ่งเติบโตมาจากเด็กสมัยก่อน จึงไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยที่จะต้องทำ แต่คุณงามความดีเพื่อครอบครัว เพื่อสังคม เพื่อสาธารณะ และ เพื่อประเทศชาติ ในที่สุดเมืองไทยจึงเต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น จนถือเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้วในทุกวงการ แล้วจะอยู่กันอย่างไรล่ะครับ

มิหนำซ้ำคนไทยเดี๋ยวนี้ไม่รู้จักศีลธรรม อันดีว่าอะไรคือบุญอะไรคือบาปจึงเกิดเหตุการณ์ที่คิดไม่ถึงมากขึ้นเรื่อยเรื่อย เช่น ลูกฆ่าพ่อฆ่าแม่ ฆ่าผู้หลักผู้ใหญ่ในครอบครัว หรือ แม้แต่พ่อหรือคนในครอบครัว ล่วงละเมิดลูกหลานในครอบครัวของตัวเอง ในสังคมมีแต่เรื่องรุนแรงฆ่าฟันกันเป็นว่าเล่นหรือมีกิจกรรมที่ผิดต่อศีลธรรมจรรยา

เด็กสมัยนี้เลิกเข้าวัดกันแล้วหรือ แม้แต่พระก็ยังประพฤติผิดทำนองคลองธรรมอยู่เสมอ ปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่น่าเชื่อว่าสังคมไทยจะเลวร้ายขนาดนี้ เพราะเราเลิกเรียนวิชานี้ มานานเหลือเกินแล้วครับ เจ้าประคุณทูนหัวทั้งหลายครับ

คิดไปแล้วการศึกษาไทย คนไทย สังคมไทย และประเทศไทย คงจะอยู่ในเรื่องราวเหล่านี้ไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ น่าเวทนาและน่าอนาถนะครับ ทุกท่าน

ขอขอบพระคุณครับ

 

(โปรดกดถูกใจเพจ Edunewssiam ด้านล่างขวา เพื่อรับข่าวสารอัพเดตในฟีดข่าว)