รัฐบาลหาทางออกขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ หลังครูฯทั่ว ปท.ฮือต้าน ส่ง ‘ตรีนุช’ เชิญภาค ปชช.รับฟังข้อเรียกร้อง “ค.อ.ท.” เสนอวิธีใช้อำนาจ รมว.ศธ.ดึงร่าง กม.กลับมาให้ สกศ.แก้ไข ก่อนชงเข้าสภา
เมื่อเวลาประมาณ 09.00 น. วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. เชิญตัวแทนองค์กรครู/ภาคประชาชน เข้าร่วมหารือหาทางออกการขับเคลื่อน ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ
ประกอบด้วย นายดิเรก พรสีมา ประธานสมัชชาเครือข่ายครูและบุคลากรทางการศึกษาแห่งประเทศไทย (สคคท.) นายธนชน มุทาพร ประธานชมรมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแห่งประเทศไทย และนายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ ประธานชมรมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษาแห่งประเทศไทย ในนามตัวแทนเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูไทย (ค.อ.ท.) และนายบูรพาทิศ พลอยสุวรรณ์ อดีตรอง
ก่อนที่ นางสาวตรีนุช พร้อมด้วยทีมที่ปรึกษา และ ดร.อำนาจ วิชยานุวัติ เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) จะได้นำข้อหารือทางออกการขับเคลื่อน ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติในช่วงเช้านี้ ไปหารือต่อกับ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวง
โดยจะมีผู้เข้าร่วมประชุมด้วย เป็นกลุ่มคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาภาคประชาชน และ สคคท. เช่น นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร, นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รองประธาน
ทั้งนี้ นายธนชน เปิดเผยภายหลังร่วมหารือกับนางสาวตรีนุช ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ว่า ตน, นายรัชชัยย์ พร้อมด้วยนายไพศาล ปันแดน นายกสมาคมนักบริหารการศึกษาขั้นพื้นฐานแห่ง
โดยเฉพาะในประเด็นให้คงบทบัญญัติสำคัญตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เกี่ยวกับ “ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู” ไม่เอา “ใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู” , ให้คงบทบัญญัติวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง , คงตำแหน่งผู้อำนวยการสถานศึกษา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการเกิดผลกระทบกับเงินวิทยฐานะและเงินตอบแทนของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่อาจหดหายไปในอนาคต ตามที่ข้าราชการครูฯทั่วประเทศวิตกกังวลกัน
รวมทั้งให้มีบทบัญญัติกำหนดชัดเจนเรื่องโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ ในระบบการบริหารจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับกระทรวงลงไปถึงหน่วยงานเขตพื้นที่ จังหวัด และสถานศึกษา
นายธนชนกล่าวว่า หากรอให้นำร่าง พ.ร.บ.ไปแก้ไขในรัฐสภาแล้ว เกรงว่าจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เพราะถ้ารัฐสภามีการรับหลักการในวาระแรกแล้ว ก็ไม่สามารถจะไปแก้ไขในตัวบทได้ เนื่องจากเป็นการขัดเจตนารมณ์ของกฎหมาย ดังที่ได้บัญญัติไว้ในข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.๒๕๖๒ ที่บัญญัติว่า “...การแปรญัตติเพิ่มมาตราขึ้นใหม่หรือตัดทอนหรือแก้ไขมาตราเดิม ต้องไม่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้น”
ซึ่งในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับที่ผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้บัญญัติเรื่อง “ใบรับรองการประกอบวิชาชีพครู” ไว้อย่างชัดเจนในเหตุผลของการร่างกฎหมาย จนน่าตั้งข้อสังเกตด้วยซ้ำไปว่า มีเจตนาหมกเม็ดเรื่องการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ในสภาหรือไม่?
ดังนั้น กลุ่มตัวแทน ค.อ.ท.จึงได้เสนอทางออกเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งกับกลุ่มข้าราชการครูฯทั่วประเทศ โดยเสนอให้นางสาวตรีนุช รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ได้ใช้อำนาจการบริหารดึงร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับที่เป็นปัญหานี้ กลับมาให้ สกศ.แก้ไขก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาต่อไป
“ข้อเสนอนี้สามารถทำได้อยู่แล้ว เพราะร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติเป็นของ ศธ.ในฐานะผู้เสนออยู่แล้ว อีกทั้ง สกศ.ก็เคยจัดประชาพิจารณ์รับทราบถึงความต้องการของครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศอยู่แล้วด้วย” ตัวแทนกลุ่ม ค.อ.ท.กล่าว
ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์ EdunewsSiam.com รายงานด้วยว่า ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา เครือข่ายองค์กรวิชาชีพครูไทย (ค.อ.ท.) ซึ่งประกอบด้วยองค์กรครูและบุคลากรทางการศึกษาทั่วประเทศจำนวนกว่า 200 องค์กร ได้ร่วมกันเคลื่อนไหวต่อต้านร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ฉบับผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกา (ซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน) พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการแก้ไขใน 7 ประเด็นหลัก ตามความต้องการของครูและบุคลากรทางการศึกษา ก่อนนำเข้าพิจารณาในรัฐสภา
เช่น ส่งหนังสือคัดค้านถึง พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ในนาม ค.อ.ท. และในนามองค์กรครูฯในหลายจังหวัด, เคลื่อนไหวแบบดาวกระจายส่งตัวแทนยื่นหนังสือคัดค้านถึงมือ ส.ส. และ ส.ว.ในทุกจังหวัด รวมถึงผู้ประสานงานรัฐบาล, ถ่ายภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาแสดงพลังสัญลักษณ์คัดค้าน รวมทั้งจัดทำป้ายคัดค้านในจังหวัดต่างๆ
อนึ่ง ข้อเรียกร้องของกลุ่ม ค.อ.ท.ใน 7 ประเด็นการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับผ่านกฤษฎีกา ตามความต้องการของครูและบุคลากรทางการศึกษา ประกอบด้วย
1.ให้มีหลักประกันความสำคัญของวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง, 2.บทบัญญัติให้ครอบคลุมบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับภารกิจการจัดการศึกษา, 3.ให้มีบทบัญญัติวิชาชีพทางการศึกษาเป็นวิชาชีพชั้นสูง และคงไว้ซึ่งใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ, 4.ให้มีกฎหมายว่าด้วยเงินเดือน เงินวิทยฐานะ เงินประจำตำแหน่งและเงินค่าตอบแทนอื่น
ประเด็นที่ 5.ให้มีกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ, 6.การมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในคณะกรรมการกำหนดนโยบายการศึกษาแห่งชาติ และ ประเด็นที่ 7 สถานศึกษาของรัฐมีผู้บริหารสถานศึกษาและผู้ช่วยผู้บริหารสถานศึกษาเป็นข้าราชการครู และต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)