นักวิชาการสะกิด“ตรีนุช”หยุดเคลื่อนหลักสูตรสมรรถนะ เคลียร์ปมแย้งก่อนวุ่นวาย

"นักวิชาการศึกษา"เรียกร้อง"ตรีนุช"ก่อนวุ่นวาย

สั่งหยุดหลักสูตรสมรรถนะ

มุ่งเคลียร์ปมขัดกฎหมาย-ยกร่างแบบสะเปะสะปะ 

เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา อดีตอาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการจัดทำร่างหลักสูตรฐานสมรรถนะในหน่วยงานกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นทั้งหมด อาจเกิดจากผู้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเรื่องหลักสูตรฐานสมรรถนะในขั้นตอนหน่วยงาน ศธ.และ สพฐ.ในเวลานี้แทบทั้งหมด อาจคำนึงถึงแต่ความปรารถนาดีที่จะทำหลักสูตรการศึกษาให้ดีขึ้น

แต่ลืมไปว่า ผู้ที่เข้าไปมีบทบาทส่วนใหญ่ ขาดความรู้จริงในบริบทของการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพราะไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตรการศึกษามาก่อน บางคนเรียนจบมาทางวิศวะ จบด้านวรรณคดี ฯลฯ จึงทำให้มีความเข้าใจที่ไม่ตรงกับคนในแวดวงการศึกษา โดยเฉพาะครูและบุคลากรทางการศึกษา จนนำมาสู่การท้วงติง คัดค้าน และขยายวงกระทั่งเกิดความขัดแย้ง เกิดความวุ่นวาย ถึงขั้นกำลังจะมีการไปแจ้งความดำเนินคดีและฟ้องร้องเอาผิดกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนหลักสูตรสมรรถนะ

อดีตอาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวต่อว่า ตนจึงขอเรียกร้องไปยัง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้สั่งการให้ยุติการขับเคลื่อนจัดทำร่างหลักสูตรฐานสมรรถนะเอาไว้ก่อน แล้วให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำร่างหลักสูตรสมรรถนะและเห็นขัดแย้งได้มาร่วมประชุมหาข้อยุติและทางออกร่วมกัน

เริ่มจากการหาข้อยุติกรณีการจัดทำร่างหลักสูตรแกนกลางฐานสมรรถนะของ ศธ.และ สพฐ.ในเวลานี้ เพื่อมาใช้แทนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ปรับปรุง พ.ศ.2560 ขัดแย้งกับกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ และแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา (ฉบับปรับปรุง) ที่ลงนามโดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลใช้บังคับใช้ หรือไม่? เพราะได้กำหนดแผนห้วงเวลาและงบประมาณดำเนินการให้หน่วยงานใน ศธ.ปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้ของครูให้อิงสมรรถนะผู้เรียน แต่ไม่ได้ให้มาออกหลักสูตรฐานสมรรถนะ

รวมทั้งประเด็นการส่อไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 27 ที่บัญญัติให้คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ต้องเป็นผู้ริเริ่มเองในการจัดทำหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานขึ้นใหม่ หรือไม่?

ซึ่งตนเองก็ยังมอง 50:50 อาจส่อว่าคณะกรรมการ กพฐ.ไม่ได้ริเริ่มเองจริง แต่ส่อว่าอาจเป็นการรับช่วงต่อมาจาก คณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา (กอปศ.) ที่มีศาสตราจารย์กิตติคุณ นพ.จรัส สุวรรณเวลา อดีตนายกสภาและอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน หรือไม่? ที่ได้เสนอเรื่องหลักสูตรฐานสมรรถนะไว้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ก่อนที่ กอศป.จะหมดวาระทำงาน 2 ปี

หลังจากนั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา และได้จัดทำแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา (ฉบับปรับปรุง) ดังกล่าว

ถ้าได้ข้อยุติว่าขัดกฎหมาย ก็ให้ น.ส.ตรีนุชสั่งระงับการทำเรื่องหลักสูตรฐานสมรรถนะออกไปก่อน แต่ถ้าไม่ขัดกฎหมายก็เดินหน้าต่อ

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นความขัดแย้งวุ่นวายที่เกิดจากปัญหาการไม่มีวิธีการคุม และไม่มีระเบียบวิธีวิจัยในการยกร่างและทดลองใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะที่ผ่านมา จนทำให้การร่างหลักสูตรสะเปะสะปะ

เช่น บางครั้งบอกมี 6 หรือ 7 หรือ 9 กลุ่มสมรรถนะ บางช่วงก็บอกร่างกรอบหลักสูตรฯเสร็จแล้วกำลังนำไปทดลองใช้ ทั้งที่ยังไม่เสร็จ

หรือการจัดแถลง Kick-Off เปิดโครงการนำร่องทดลองใช้ร่างหลักสูตรฯใน 265 โรงเรียนเขตพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 8 จังหวัด ของนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ร่วมด้วยนางสิริกร มณีรินทร์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดทำและพัฒนา (ร่าง) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช...(หลักสูตรฐานสมรรถนะ)

แต่จากการเปิดเผยของ ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. (รับผิดชอบงานวิชาการของ สพฐ.) กลับระบุว่า มีเพียง 5 โรงเรียนใน จ.เชียงใหม่เท่านั้น ที่นำร่างหลักสูตรฐานสมรรถนะไปทดลอง ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบวิธีวิจัยหลักสูตรที่จะนำใช้กับโรงเรียนทั่วประเทศ จะต้องไม่มีคำว่าสมัครใจ และหนำซ้ำยังมีร่างหลักสูตรสมรรถนะให้ทดลองแค่ 5 สมรรถนะ จากที่บอกมี 6 สมรรถนะ เป็นต้น

ดร.เกศทิพย์ ศุภวานิช

เหล่านี้เป็นตัวอย่างปัญหาของการขับเคลื่อนจัดทำร่างหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ที่อาจไม่รู้จริง ดังนั้น น.ส.ตรีนุช รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ต้องสั่งยุติไว้ก่อน ให้ทั้งฝ่ายที่ขับเคลื่อนจัดทำร่างหลักสูตรได้หยุดตั้งสติ ทบทวนความผิดพลาดที่ผ่านมา แล้วมาหาทางออกร่วมกับฝ่ายที่เห็นขัดแย้ง

"เพราะถ้าขืนยังให้เดินหน้าต่อไป จะต้องเผชิญกับความวุ่นวาย และอาจสร้างความเสียให้กับวงการศึกษาของประเทศ แม้กระทั่งหลักการดีดีที่มีอยู่ในหลักสูตรฐานสมรรถนะก็อาจจะได้รับการต่อต้านไปด้วย” ศาสตราจารย์ ดร.สมพงษ์ กล่าว

อนึ่ง ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวการศึกษาออนไลน์ EdunewsSiam.com รายงานเพิ่มเติมถึงรายละเอียดที่กำหนดในแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา (ฉบับปรับปรุง) ที่จัดทำโดยคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา มีนายวรากรณ์ สามโกเศศ เป็นประธาน ซึ่งอยู่ในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ลงนามโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 

และเผยแพร่ในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 ะบุไว้ชัดเจนในหัวข้อส่วนที่ ๒ กิจกรรมปฏิรูปที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rockข้อย่อยที่ ๒.๒ กิจกรรมปฏิรูปที่ ๒ การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ (อยู่ในหน้า ๓๐๕-๓๐๘) ดังสาระสำคัญต่อไปนี้

การจัดการศึกษาของประเทศ จะต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ ๒๕๖๐ และยุทธศาสตร์ชาติ คำนึงถึงสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางด้านประชากร การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และพลวัตรของโลกยุคใหม่ ที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของประชากรในทุกช่วงวัย ที่จะต้องเผชิญ ความท้าทายกับวิถีชีวิตใหม่

จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการเรียนรู้และรูปแบบการเรียนการสอน โดยมีเป้าหมายที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ มีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติ ผู้เรียนได้รับการพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุดของแต่ละบุคคล เป็นผู้มีความรู้ มีทักษะและใฝ่เรียนรู้ (Learning Skills) สามารถเชื่อมโยงนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง มีทักษะชีวิต (Life Skills) ในโลกยุคใหม่ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ (Active Citizen) มีความรับผิดชอบ มีจิตสาธารณะ มีความรัก และความภาคภูมิใจในความเป็นไทย

โดยการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนตามหลักสูตรอิงมาตรฐาน (Standard-based Curriculum) ในปัจจุบัน ไปสู่การเรียนรู้ที่พัฒนาสมรรถนะผู้เรียน (Competency-based Learning) เป็นสำคัญ

ทั้งนี้ การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมรรถนะแบบผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้แบบถักทอความรู้ ทักษะ คุณลักษณะผู้เรียนเข้าด้วยกันด้วยการลงมือปฏิบัติจริง (Active Learning) มุ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและเรียนรู้อย่างมีความสุขและพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ผ่านการทำงานเป็นทีมและความร่วมมือระหว่างผู้เรียนด้วยกัน

การมีครูอาจารย์ที่มีสมรรถนะ ด้านการจัดการเรียนรู้ที่ หลากหลาย เหมาะสมกับผู้เรียนและบริบทของท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษามีสมรรถนะในการบริหารงานการจัดการเรียนรู้ การนิเทศการเรียนรู้ การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ปลอดภัย และส่งเสริมการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถกำหนดเส้นทางและจังหวะก้าวการเรียนรู้ของตนเอง (Personalized Learning) อย่างมีความหมาย

มีการวัดและประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียนในทุกมิติอย่างแท้จริง ตลอดจนมีการใช้เทคโนโลยีทางการศึกษาที่เหมาะสมกับผู้เรียน และความพร้อมเพื่อให้การจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ในแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ด้านการศึกษา ยังระบุชัดเจนถึงเป้าหมายและตัวชี้วัดในกิจกรรมปฏิรูปที่ ๒ การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ เพื่อตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ ดังนี้

เป้าหมาย (๑) ผู้เรียนทุกระดับเป็นผู้มีความรู้ ทักษะและใฝ่เรียนรู้ มีทักษะในการดำรงชีวิตในโลกยุคใหม่ รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคมและโลก เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้ มีความรับผิดชอบ และมีจิตสาธารณะ

(๒) ครู/อาจารย์มีสมรรถนะด้านการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย การออกแบบการ เรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ มีจิตวิทยาการเรียนรู้ สื่อและการใช้สื่อ เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาและการ เรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง มีความศรัทธาในวิชาชีพและความเป็นครู

(๓) ผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษามีสมรรถนะในการบริหารงาน วิชาการ และการนิเทศการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ด้านหลักสูตรการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและ เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง การนิเทศการจัดการเรียนรู้ มีภาวะ ผู้น้าทางวิชาการ มีจิตวิทยาในการส่งเสริมและสร้างขวัญกำลังใจในการจัดการเรียนรู้ และมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ในการร่วมมือกับบุคคล หน่วยงานและชุมชนในการส่งเสริมและสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ปลอดภัยสำหรับ ผู้เรียน

ตัวชี้วัด (๑) มีหลักสูตรการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อความถนัดและความสนใจของ ผู้เรียนรายบุคคล

(๒) ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนาศักยภาพในการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning ผ่านการพัฒนาการคิดขั้นสูงเชิงระบบ

(๓) ครูผู้สอนจัดการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาสมรรถนะผู้เรียนแบบถักทอความรู้ ทักษะ และเจตคติค่านิยม และคุณลักษณะผู้เรียนเข้าด้วยกันแบบ Active Learning ในทุกระดับการศึกษา

(๔) ระบบการประเมินผลลัพธ์ผู้เรียนมีความหลากหลาย เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เป็นรายบุคคล (personalized learning) และสามารถสะท้อนสมรรถนะของผู้เรียนได้ตามบริบทของสถานศึกษา ลดสัดส่วนของการนำผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนในระดับชาติมาใช้ในการพิจารณาประเมินผลของครูและผู้บริหาร สถาบันการศึกษา

(๕) มีแพลตฟอร์มการเรียนรู้อัจฉริยะ ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อการสอนคุณภาพสูง และการประเมินและพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เป็นรายบุคคล (personalized learning) สำหรับผู้เรียนทุกช่วงวัย

ที่สำคัญในแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ด้านการศึกษา ยังมีการระบุในหน้า ๓๐๗ ในหัวข้อที่ ๒.๒.๒ เรื่องหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลัก คือ กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำหนดในหัวข้อ ๒.๒.๓ เรื่องระยะเวลาดำเนินการ รวม ๑ ปี ๙ เดือน (มกราคม ๒๕๖๔ – กันยายน ๒๕๖๕) ๒.๒.๔ ประมาณการวงเงินรวม และแหล่งที่มาของเงิน คืองบประมาณของหน่วยงาน

ตลอดจนในแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ด้านการศึกษา ยังระบุชัดในหน้า ๓๐๗-๓๐๘ หัวข้อ ๒.๒.๕ ขั้นตอนและวิธีการการดำเนินการปฏิรูป ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ) เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลักในการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการ ดังนี้

ขั้นตอนที่ ๑ ปรับแนวทางการจัดการเรียนรู้ทุกระดับ ที่เน้นการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบที่นำไปสู่สมรรถนะหลักที่จำเป็นในแต่ละระดับตามแนวทางการจัดการเรียนรู้เชิงรุก และการวัดผลประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน ปฏิรูปการเรียนรู้ระดับห้องเรียนด้วยการปรับวิธีสอนจาก Passive Learning ที่เน้นป้อนข้อมูลโดยการท่องจำเนื้อหา มาเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning เพื่อให้ผู้เรียนสร้างความรู้ผ่านกระบวนการคิดขั้นสูงเชิงระบบ ด้วยการให้ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลเป็น วิเคราะห์สังเคราะห์ออกแบบ ตัดสินใจบนพื้นฐานคุณธรรมและค่านิยมเพื่อสังคม ประเทศชาติและนำความรู้ไปสู่การลงมือปฏิบัติอย่างมีแบบแผน ตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหา พัฒนาจนเกิดผลผลิตที่ดีกว่า มีคุณค่าต่อสังคม มากกว่าเดิม และกำกับการเรียนรู้ของตนเองในการตรวจสอบกลไกเชิงระบบของงานที่ท้าเพื่อเพิ่มคุณค่า คุณธรรม ค่านิยม และขยายประโยชน์สู่สังคมที่กว้างขึ้น

ด้วยการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนทุกระดับชั้น ตั้งแต่ระดับอนุบาล ระดับประถมศึกษา จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ระดับอาชีวศึกษา การศึกษาตามอัธยาศัย และระดับอุดมศึกษาตลอดแนว โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน

โดยมีระยะเวลาดำเนินการ ๑ ปี (มกราคม ๒๕๖๔ – ธันวาคม ๒๕๖๕)

ขั้นตอนที่ ๒ พัฒนาครูให้มีศักยภาพในการออกแบบการเรียนรู้ สามารถจัดและอำนวยกระบวนการเรียนรู้ การใช้สื่อและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ และวัดผลประเมินผลเพื่อพัฒนาผู้เรียน และพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและศึกษานิเทศก์ ให้มีความรู้ความเข้าใจ สามารถกำกับดูแล ช่วยเหลือแนะนำ การโค้ชครูรวมถึงการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ปลอดภัยสำหรับผู้เรียน

มีระยะเวลาดำเนินการ ๑ ปี (มกราคม ๒๕๖๔ – ธันวาคม ๒๕๖๔)

ขั้นตอนที่ ๓ รับปรุงระบบการวัดผลและประเมินผล ให้มุ่งเน้นที่การประเมินผลผู้เรียนตามสภาพจริง โดยพัฒนาวิธีการที่หลากหลายในการประเมินผู้เรียนที่เหมาะสมกับบริบทและศักยภาพของผู้เรียน

ระยะเวลาดำเนินการ ๑ ปี ๙ เดือน (มกราคม ๒๕๖๔ – กันยายน ๒๕๖๕)

ขั้นตอนที่ ๔ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้กับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน ในการเสริมสร้างการเรียนรู้และยกระดับคุณภาพผู้เรียน ทั้งด้านทรัพยากรและองค์ความรู้ด้านวิชาการ ทักษะ และการบ่มเพาะคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดี

ระยะเวลาดำเนินการ ๑ ปี ๙ เดือน (มกราคม ๒๕๖๔ – กันยายน ๒๕๖๕)

ขั้นตอนที่ ๕ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ประชุมหน่วยงานผู้รับผิดชอบ ติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการ และร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ประเมินผลการดำเนินงานและขยายผลต่อไป

มีระยะเวลาดำเนินการ ทุก ๓ เดือน

ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่านายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลการศึกษาของชาติ คณะรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ โดยเฉพาะ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ตลอดจนผู้บริหารการศึกษาในระดับกระทรวง พื้นที่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรทางการศึกษา ศึกษานิเทศก์ นักเรียนและผู้ปกครอง ที่ได้อ่านกันชัดๆ แล้ว คงให้คำตอบกันได้ไม่ยากว่า

ตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งผ่านความเห็นชอบแล้วจากรัฐบาล และรัฐสภารับทราบด้วยแล้ว ณ พ.ศ.2564 ซึ่งทันตามยุคสมัย และเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐ มาตรา ๒๕๘ จ.ด้านการศึกษา และสอดรับตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2561-2580 ได้กำหนดให้ "กระทรวงศึกษาธิการ" ทำอะไร ??

ระหว่างเดินหน้าปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนของครูและนักเรียนเป็นแบบ Active Learning ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอิงมาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไปสู่การพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน หรือ ยังหลงทางจัดทำหลักสูตรแกนกลางฐานสมรรถนะ ???

ถึงเวลาแล้วที่กระทรวงศึกษาธิการ จะต้องตระหนักในการทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบต่อเด็ก เยาวชน ผู้ปกครอง สังคม และประเทศชาติ โดยเดินตามกฎหมาย พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ.2560 ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และตามแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา (ฉบับปรับปรุง)

ซึ่งตามชื่อแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา (ฉบับปรับปรุง) ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า ได้มีการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นกว่าแผนฉบับเก่า โดยเฉพาะการตอบสนองได้รวดเร็วทันต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑ 

เปรียบเสมือนกระทรวงศึกษาธิการได้ทำหน้าที่ถูกทิศถูกทาง ในการจัดหาเรือที่มีหางเสือให้กับคุณครูทั่วประเทศได้พายพาเด็กๆ เยาวชนนักเรียนไทยข้ามไปถึงฝั่ง ไม่ใช่ปล่อยให้คุณครูจำนวนไม่น้อยขาดหางเสือ พายเรือส่ายไปส่ายมา วนเวียนจนส่งเด็กๆ ไม่ถึงฝั่งสักที !!

 

(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)