ค.อ.ท.แจงละเอียดผลกระทบร่าง กม.ศึกษาชาติฉบับรัฐบาล ยันต้องแก้อีกรอบ!

รัชชัยย์ ศรสุวรรณ

นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ ประธานเครือข่ายองค์กรวิชาชีพครู (ค.อ.ท.) และประธานชมรมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาแห่งประเทศไทย เปิดเผยรายละเอียดผลกระทบของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) และอยู่ระหว่างการนำเสนอรัฐสภา จนต้องเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องได้ถอนร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมาแก้ไขก่อน

โดยนายรัชชัยย์ อธิบายถึงผลกระทบอย่างยิ่งต่อคุณภาพการศึกษา และผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตครู ดังนี้

ข้อ ๑ ร่างกฎหมายฉบับนี้ มีเจตนาให้ผู้มีอำนาจในอนาคตสามารถเปลี่ยนสถานะข้าราชการครูในปัจจุบันให้เป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หรือไม่? โดยพิจารณาจากมาตรา ๓๕ ของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ...ฉบับนี้ ซึ่งบัญญัติไว้ว่า

“ให้มีกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานบุคคล สำหรับครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในกฎหมายดังกล่าวอย่างน้อยต้องมีหลักประกันความเป็นข้าราชการหรือความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีสถานะและได้รับสิทธิประโยชน์เทียบเคียงได้กับข้าราชการ มีความโปร่งใสในการรับบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นธรรมและได้รับค่าตอบแทนอย่างเพียงพอต่อการดำรงชีพ รวมตลอดทั้งหลักประกันในการที่ครูจะสามารถดำรงตนและปฏิบัติหน้าที่ตามาตรา ๓๒ มาตรา ๓๓ และมาตรา ๓๔ ได้อย่างมีศักดิ์ศรี”

เมื่อพิเคราะห์จากสาระของมาตรานี้แล้วเห็นว่า มาตรานี้ไม่ได้ใช้คำว่า “ข้าราชการครู” แต่ใช้เพียงคำว่า “ครูและบุคลากรทางการศึกษา” ที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาของรัฐ ซึ่งอาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงจากข้าราชการครูที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นสถานะอื่นที่ไม่ใช่ข้าราชการ โดยให้มีหลักประกันความเป็นข้าราชการ ซึ่งย่อมหมายถึงการไม่ได้เป็นข้าราชการ แต่อาจเป็นพนักงานโรงเรียน เหมือนมหาวิทยาลัยในปัจจุบันที่ไม่มีข้าราชการแล้ว แต่ให้มีพนักงานมหาวิทยาลัย โดยจะต้องได้รับการประเมินทุกสองหรือสามปี ถ้าประเมินไม่ผ่านก็จะถูกเลิกจ้าง

นอกจากนี้ ยังไม่ปรากฏว่าในร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ ได้บัญญัติศัพท์หรือนิยามศัพท์ว่า “ข้าราชการครู” แม้แต่มาตราเดียว ในขณะที่มาตรา 55 และมาตรา 56 ของ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่บังคับใช้ในปัจจุบันใช้คำว่า "ข้าราชการครู" แยกต่างหากจากคำว่า "พนักงานของรัฐในสถานศึกษา" และ "ครูโรงเรียนเอกชน"

อีกทั้งร่างกฎหมายนี้ก็มิได้กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาล ให้ข้าราชการครูที่เป็นอยู่แล้วให้ยังคงเป็นอยู่ต่อไป การบัญญัติให้ผู้มีอำนาจสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะของข้าราชการครูไปเป็นอย่างอื่นนั้น จะส่งผลเสียหายและส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของข้าราชการครูเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากข้าราชการครูปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกใจผู้มีอำนาจ อาจถูกเลิกจ้างได้อย่างไม่เป็นธรรม

ที่สำคัญคือ จะทำให้ไม่มีการสร้างแรงจูงใจให้คนเรียนเก่งมาประกอบวิชาชีพครู อันจะทำให้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

​๒.ข้าราชการครูในสถานศึกษาของรัฐ อาจอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายทุน พ่อค้าหรือเอกชน โดยมาตรา ๑๑ (๕) บัญญัติไว้ว่า “รัฐมีหน้าที่จัดการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามมาตรา ๘ และมีหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน ช่วยเหลือและอุดหนุนการจัดการศึกษาตาม (๑) (๒) (๓)และ (๔) ในการจัดการศึกษาดังกล่าว รัฐจะมอบหมายให้เอกชนเข้าบริหารจัดการ หรือดำเนินการโดยใช้ทรัพยากรของรัฐก็ได้”

การบัญญัติเช่นนี้ ให้อำนาจรัฐสามารถใช้อำนาจดุลพินิจให้เอกชนเข้าบริหารจัดการสถานศึกษาของรัฐโดยใช้ทรัพยากรของรัฐ ซึ่งข้าราชการครูก็ถือว่าเป็นทรัพยากรของรัฐ

​๓.หน่วยงานระดับกรมต่างๆ และเขตพื้นที่การศึกษาจะถูกยุบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ฯลฯ เป็นต้น ทั้งนี้ เพราะ

​​๓.๑ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ได้กำหนดโครงสร้างส่วนราชการระดับกรมไว้ในมาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๕ โดยให้มีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้กำหนดโครงสร้างของหน่วยงานระดับกรมไว้ และมาตรา ๒ ของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ ได้บัญญัติให้ยกเลิก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ซึ่งหมายถึงการยกเลิกสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา

​​๓.๒ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้มีนิยามศัพท์ “ผู้บริหารการศึกษา” แต่ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฯฉบับนี้ ไม่มีนิยามศัพท์คำว่า “ผู้บริหารการศึกษา”แต่อย่างใด จึงเป็นข้อบ่งชี้ว่า อาจมีการยุบเขตพื้นที่การศึกษาด้วย

​​๓.๓ มาตรา ๑๐๖ แห่งร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ บัญญัติไว้มีสาระสำคัญว่า “ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการเพื่อให้มีการจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการให้สอดคล้องกับหลักการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้...”

เมื่อพิเคราะห์จากการใช้ถ้อยคำ เห็นว่าคำว่ากระทรวงศึกษาธิการย่อมหมายถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีอำนาจเสนอให้มีหน่วยงานทางการศึกษาระดับสำนักงานภายในกระทรวงศึกษาธิการได้ แต่ไม่มีมีอำนาจในการเสนอให้มีหน่วยงานระดับกรม

​​๓.๔ มาตรา ๑๐๖ แห่งร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ บัญญัติไว้มีสาระสำคัญว่า “...ให้การบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และปลัดกระทรวงศึกษาธิการ...”

บทบัญญัติเช่นนี้ เป็นข้อบ่งชี้ว่าอาจไม่มีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ค่อนข้างชัดเจน โดยที่น่าจะมีสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ทุกจังหวัด เพราะถือว่าเป็นตัวแทนปลัดกระทรวงศึกษาธิการ

​​๓.๕ ในบทเฉพาะกาลของร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ ได้บัญญัติไว้มีสาระสำคัญว่า "ให้ผู้อำนวยการสถานศึกษา รองผู้อำนวยการสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ มีสิทธิได้รับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง เงินวิทยฐานะ และประโยชน์ตอบแทนอื่น เช่นเดียวกับที่ได้รับอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ”

มีข้อสังเกตคือ ร่างกฎหมายนี้ไม่มีการพูดถึงผู้บริหารการศึกษา ซึ่งหมายถึงผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลย ย่อมแสดงให้เห็นว่า อาจจะมีการยุบสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาแน่นอน

​ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวคือ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการจัดการศึกษาแต่ละด้าน ทั้งด้านการประถมศึกษา การมัธยมศึกษา และการอาชีวศึกษา ไม่มีหน่วยงานสนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการอาชีวศึกษา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนั้น ยังจะมีปัญหาว่า จะให้บรรดาผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และบรรดารองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ไปวางไว้ที่หน่วยงานใด การกำหนดเช่นนี้เป็นการรวมอำนาจสู่ส่วนกลาง ผิดหลักการกระจายอำนาจ

"ยังมีอีกหลายประเด็นที่เป็นปัญหาในทางปฏิบัติ จึงขอเชิญชวนข้าราชการครูร่วมแรงร่วมใจกันเรียกร้องให้รัฐบาลถอนร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติฉบับนี้ออกไปก่อน แล้วให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานร่างกฎหมายการศึกษาแห่งชาติขึ้นมาใหม่ โดยให้ข้าราชการครูมีส่วนร่วมในการยกร่างด้วย” นายรัชชัยย์ กล่าว

 

 

(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)