จม.เปิดผนึก รัชชัยย์ ศรสุวรรณ ชี้ทาง รมว.ตรีนุช ลดโทษ 65 ครู! คดีทุจริตสนามฟุตซอล ปี'55
นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ ประธานชมรมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษาแห่งประเทศไทย ทำจดหมายเปิดผนึกเรื่อง "แนวทางการลดโทษหรืองดโทษข้าราชการครู คดีทุจริตก่อสร้างสนามฟุตซอล ปี พ.ศ.2555" สะท้อนผ่านสำนักข่าวการศึกษาออนไลน์ EdunewsSiam.com ถึง น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 มีใจความสำคัญดังต่อไปนี้
กราบเรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีคำสั่งลงโทษไล่ข้าราชการครูออกจากราชการจำนวน ๖๕ ราย เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดว่าบรรดาข้าราชการครูเหล่านั้น ทุจริตต่อหน้าที่ราชการในเรื่องการก่อสร้างสนามฟุตซอล เมื่อปี พ.ศ.2555
ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษาแห่งประเทศไทย ได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดแล้วเห็นว่าสังคมต่างรับรู้ดีว่า ข้าราชการครูที่ถูกลงโทษไล่ออกดังกล่าว ล้วนแล้วแต่เป็นเหยื่อฝ่ายการเมือง ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนไม่ปรากฏว่าข้าราชการครูที่ถูกไล่ออกได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ใดๆ แต่อย่างใด ถ้าจะผิดวินัยไปบ้างก็คงจะเป็นเรื่องบกพร่องต่อหน้าที่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายเมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูลว่า ข้าราชการครูทุกรายดังกล่าวต่างกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่แล้ว ส่วนราชการต้นสังกัดก็จำต้องลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงข้าราชการครูเหล่านั้น ชมรมฯรับทราบมาว่า ผู้ถูกลงโทษต่างก็ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งลงโทษดังกล่าวแล้ว
หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เห็นว่าผู้ถูกลงโทษได้รับโทษหนักเกินกว่ากรณีความผิดก็อาจมีมติให้ลดโทษได้โดยอาศัยเหตุผลดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ มาตรา ๙๙ แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม บัญญัติไว้ว่า “เมื่อได้ดำเนินการสอบสวนผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา ๙๘ แล้ว ถ้าฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิดวินัย ให้สั่งยุติเรื่อง ถ้าฟังได้ว่ากระทำผิดวินัย ให้ดำเนินการตามาตรา ๑๐๐ และในกรณีที่กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงต้องลงโทษปลดออก หรือไล่ออก ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนผ่อนโทษ ห้ามมิให้ลดโทษต่ำกว่าปลดออก”
จากประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าวเห็นว่า ผู้มีอำนาจพิจารณา สามารถที่จะลงโทษบรรดาผู้ถูกกล่าวหาในสถานโทษ “ปลดออกจากราชการ” ได้ แม้ว่ามีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดไว้มีสาระสำคัญว่า ข้าราชการที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ ให้ผู้มีอำนาจลงโทษ “ไล่ออก” สถานเดียว นั้น ชมรมฯขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปกครองโดยนิติรัฐ ซึ่งหมายถึงการบริหารปกครองประเทศ ซึ่งถือกฎหมายเป็นใหญ่
กรณีนี้เห็นว่ามติ ครม.ไม่มีฐานะเป็นกฎหมาย หรือแม้จะถือว่ามติ ครม.ฉบับนี้เป็นกฎหมาย ก็เป็นกฎหมายลำดับรอง ซึ่งมีศักดิ์ทางกฎหมายต่ำกว่ากฎหมายระดับพระราชบัญญัติ เนื้อความของมติ ครม.ที่ขัดหรือแย้งกับ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงไม่สามารถนำไปใช้บังคับได้
ดังนั้น ผู้มีอำนาจจึงสามารถเปลี่ยนระดับโทษจาก "ไล่ออก" เป็น "ปลดออก" ได้ เพื่อให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญและสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อดำรงชีพในยุคการแพร่ระบาดของเชื้อโรค COVID–19 ต่อไป
ข้อ ๒ ขอได้โปรดตรวจสอบว่า ผู้ที่ลงนามสั่งลงโทษไล่ออกบรรดาข้าราชการดังกล่าว มีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งลงโทษข้าราชการครูที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนได้หรือไม่ เป็นผู้มีอำนาจตามมาตรา ๕๓ แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงมีอำนาจตามคำสั่ง คสช.ฉบับที่ ๑๙ หรือไม่
ถ้าไม่มีอำนาจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการก็มีอำนาจสั่งยกเลิกเพิกถอนคำสั่งลงโทษดังกล่าว และสั่งให้ผู้ถูกลงโทษกลับเข้ารับราชการ แล้วส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาที่มีอำนาจสั่งลงโทษพิจารณาใหม่ โดยผู้มีอำนาจพิจารณาที่แท้จริงอาจสั่งให้ลงโทษในสถานโทษปลดออกได้ และจะเป็นคุณกับผู้ถูกกล่าวหา
เรื่องความสามารถเปลี่ยนแปลงระดับโทษได้หรือไม่นั้น ศาลปกครองสูงสุดเคยวางหลักไว้ว่า “คำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีผลผูกพันองค์กรที่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงฐานความผิดตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยและยุติแล้ว ให้เป็นประการอื่นได้ สิทธิของผู้ถูกกล่าวหาในการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย จึงถูกจำกัดว่าจะอุทธรณ์ได้เฉพาะดุลพินิจในการสั่งลงโทษผู้บังคับบัญชาเท่านั้น” (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ที่ ฟ ๒๐/๒๕๖๐)
จากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวจึงเห็นว่า ผู้มีอำนาจสามารถเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นลงโทษ "ปลดออก" ได้
ข้อ ๓ กรณีข้าราชการที่เกษียณอายุราชการไปแล้วนั้น ก.ค.ศ.ควรพิจารณาข้อกฎหมาย ดังนี้
๓.๑ ถ้ามีการกล่าวหาข้าราชการรายนั้นก่อนเกษียณอายุราชการ ต้องสั่งลงโทษภายในสามปี นับแต่ข้าราชการรายนั้นเกษียณอายุราชการ ดังนั้น จึงต้องตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงว่าข้าราชการรายใดเกษียณอายุราชการไปแล้วเกินกว่า ๓ ปี ผู้มีอำนาจก็ไม่สามารถสั่งลงโทษทางวินัยใดๆ ได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา ๑๐๒ แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.๒๕๔๗ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๖๒
๓.๒ ถ้ามีการกล่าวหาข้าราชการรายใดหลังจากที่ข้าราชการรายนั้นออกจากราชการแล้ว ต้องเริ่มทำการสอบสวนภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ข้าราชการรายนั้นออกจากราชการ และต้องสั่งลงโทษภายในสามปี นับแต่วันที่ข้าราชการรายนั้นเกษียณอายุราชการ
กรณีนี้จึงต้องตรวจสอบดูว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวนเมื่อวันที่เท่าใด หากมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน หลังจากวันที่ข้าราชการรายนั้นเกษียณอายุราชการแล้วเกินกว่า ๑ ปี หรือถ้าไม่มีคำสั่งลงโทษภายใน ๓ ปี นับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ ก็ไม่สามารถลงโทษทางวินัยใดๆ ได้
ทั้งนี้ เป็นไปตามมาตรา ๑๐๒ วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๖๒ และเป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่วางหลักไว้ (เรื่องเสร็จที่ ๑๓๖๔)
จากข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจึงเห็นว่า เป็นช่องทางที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสามารถหยิบยกมาพิจารณาเพื่อช่วยเหลือบรรดาข้าราชการครูที่มีความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการ โดยเมื่อ สพฐ.จัดสรรงบประมาณจัดทำสนามฟุตซอลก็รับไว้เพื่อประโยชน์ของเด็กๆ ในชนบท หากจะทำผิดพลาดบ้างก็เป็นเรื่องของความไม่เข้าใจระเบียบ แต่ขาดเจตนาทุจริต หากการพิจารณามีผลเป็นอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น ก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่มีโรงเรียนใดต้องการงบประมาณจากส่วนกลางอีก อันจะส่งผลเสียต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติต่อไป
ชมรมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษาแห่งประเทศไทย จึงขอความเมตตาจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธาน ก.ค.ศ.ขอได้โปรดอาศัยช่องทางข้อกฎหมายดังที่ทางชมรมฯได้กราบเรียนข้างต้น เป็นประโยชน์ในการพิจารณาลดโทษหรืองดโทษบรรดาผู้ถูกกล่าวหา เพื่อเป็นคุณูปการต่อวงการการศึกษาไทยต่อไป
ขอแสดงความนับถือ
นายรัชชัยย์ ศรสุวรรณ
ประธานชมรมพิทักษ์สิทธิผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาแห่งประเทศไทย
โทร ๐๘๓-๒๖๕๒๖๙๓
(โปรดกดถูกใจเพจด้านล่าง เพื่อติดตามข่าวสารบนเว็บไซต์ edunewssiam.com)